ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งขั้นต้น Super Tuesday ของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ที่จัดขึ้นใน 15 รัฐ และ 1 ดินแดน ซึ่งมีความสำคัญเนื่องจากเป็นโอกาสที่ผู้สมัครของแต่ละพรรคจะได้ผู้แทนพรรคกว่า 1 ใน 3 ที่จะไปโหวตให้แก่ตนเองในการประชุมใหญ่พรรคเพื่อเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในส่วนของพรรคเดโมแครตนั้น ไบเดนที่ไร้คู่แข่งสามารถเอาชนะไปได้ใน 15 รัฐ ส่วนทรัมป์ที่มีคู่แข่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวคือ นิกกี เฮลีย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ สามารถเอาชนะได้ใน 14 รัฐ ยกเว้นรัฐเวอร์มอนต์ที่เฮลีย์คว้าชัยไปได้
โดยความพ่ายแพ้ขาดลอยนี้ทำให้เฮลีย์ตัดสินใจประกาศถอนตัวและเปิดทางทรัมป์สู่การชิงตำแหน่งสูงสุดของทำเนียบขาวอีกสมัยในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งค่อนข้างแน่นอนที่ทรัมป์และไบเดนน่าจะได้รีแมตช์กันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม อาจจะยังเร็วเกินไปที่ไบเดนและทรัมป์จะดีใจหรือฉลองชัยชนะ เนื่องจากยังคงมีสัญญาณอันตรายจากผลเลือกตั้งขั้นต้น Super Tuesday ที่ทั้งสองจะต้องระวังสำหรับศึกเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
ทรัมป์ชนะครั้งใหญ่-เฮลีย์ถอนตัว
ผลนับคะแนนเลือกตั้งขั้นต้น Super Tuesday อย่างไม่เป็นทางการของพรรครีพับลิกันเป็นทรัมป์ที่กวาดชัยชนะใน 14 รัฐ และได้เสียงจากผู้แทนพรรค 764 คน ซึ่งเมื่อรวมกับชัยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นก่อนหน้านี้ทำให้ทรัมป์ได้ผู้แทนพรรครวมแล้ว 1,040 คน ขาดอีกเพียง 175 คนก็จะชนะการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคที่ต้องการขั้นต่ำ 1,215 คน จากทั้งหมด 2,429 คน
ขณะที่เฮลีย์คว้าชัยในรัฐเวอร์มอนต์ไปเพียงรัฐเดียว ได้ผู้แทนพรรคเพิ่ม 43 คน รวมกับชัยชนะก่อนหน้านี้เป็น 86 คน ทำให้โอกาสพลิกกลับมาชนะทรัมป์ค่อนข้างริบหรี่
ในการหาเสียงที่ผ่านมา ทรัมป์และเฮลีย์มีการปะทะคารมและโจมตีนโยบายหาเสียง ตลอดจนประเด็นส่วนตัวของอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
แต่ในการประกาศชัยชนะของทรัมป์ในงานเลี้ยงส่วนตัวที่จัดขึ้น ณ รีสอร์ตมาร์อาลาโก (Mar-a-Lago) บ้านพักตากอากาศสุดหรูของเขา ทรัมป์ย้ำชัยชนะขาดลอยใน Super Tuesday ครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่มีการระบุชื่อของเฮลีย์ในสุนทรพจน์ของเขา โดยเรียกร้องให้สมาชิกรีพับลิกันสามัคคีกันเพื่อสนับสนุนเขาแทน ซึ่งนอกจากจะเป็นการตอกย้ำว่าเฮลีย์ไม่เคยเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในสายตาเขา ยังเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าตอนนี้ทรัมป์กำลังมุ่งความสนใจไปที่การแข่งขันระหว่างเขากับไบเดนในศึกเลือกตั้งปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ชัยชนะของทรัมป์ในบางรัฐนั้นบ่งชี้ได้ว่าทำไมทรัมป์จึงกวาดชัยชนะครั้งใหญ่ในศึก Super Tuesday นี้
โดยในรัฐนอร์ทแคโรไลนาพบว่า ผู้ลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน 43% มองว่าประเด็นผู้อพยพเข้าเมืองเป็นประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา โดยประเด็นนี้ถือเป็นวาระทางการเมืองอันดับต้นๆ ของทรัมป์นับตั้งแต่ประกาศตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกในปี 2015
ส่วนในรัฐเวอร์จิเนีย ผู้ลงคะแนนของรีพับลิกัน 64% ระบุว่า พวกเขาวางใจทรัมป์มากกว่าเฮลีย์ในเรื่องความมั่นคงชายแดน
ผลที่ออกมาทำให้ท้ายที่สุดเฮลีย์ต้องยอมรับความพ่ายแพ้และประกาศยุติการชิงตัวแทนพรรครีพับลิกัน
โดยเธอกล่าวในการแถลงที่เมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา บ้านเกิดของเธอ ว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติแคมเปญลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีของฉัน ฉันบอกว่าฉันต้องการให้คนอเมริกันได้ยินเสียงของพวกเขา ฉันได้ทำสิ่งนั้นแล้ว ฉันไม่เสียใจเลย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เป็นผู้สมัครอีกต่อไป แต่ฉันจะไม่หยุดใช้เสียงของฉันเพื่อสิ่งที่ฉันเชื่อ”
ขณะที่เธอแสดงความยินดีต่อชัยชนะของทรัมป์ แต่ไม่มีการประกาศสนับสนุนทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่อย่างใด
ไบเดนไร้คู่แข่ง
ด้านประธานาธิบดีไบเดนนั้นไร้คู่แข่ง และค่อนข้างแน่นอนว่าจะได้เป็นตัวแทนผู้สมัครชิงประธานาธิบดีของเดโมแครตอีกสมัย
โดยผลเลือกตั้งขั้นต้น Super Tuesday ยังคงเก็บชัยชนะได้ทั้ง 15 รัฐ และได้ผู้แทนพรรคเพิ่มอีก 1,366 คน รวมกับชัยชนะก่อนหน้านี้เป็น 1,572 คน ใกล้ถึงเป้าหมายของเดโมแครตที่ต้องได้ผู้แทนพรรคทั้งหมด 1,968 คน จาก 3,934 คน เพื่อชนะการเสนอชื่อ
สัญญาณเตือนสำหรับทรัมป์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทรัมป์จะกวาดชัยชนะครั้งใหญ่ใน Super Tuesday แต่ก็ยังพบสัญญาณต่อต้านและไม่พอใจในหมู่ผู้ลงคะแนนบางส่วนของรีพับลิกัน
โดยที่รัฐเวอร์จิเนียและนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งแม้ทรัมป์จะชนะ แต่คะแนนเสียงของกลุ่มผู้ลงคะแนนอายุน้อย ผู้อาศัยอยู่ชานเมือง และผู้ลงคะแนนที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนั้น เทคะแนนจำนวนมากให้เฮลีย์
นอกจากนี้พบว่า ผู้ลงคะแนนไม่น้อยในทั้งสองรัฐยังมองว่าทรัมป์ซึ่งเผชิญคดีอาญาอยู่ถึง 4 คดี ไม่เหมาะที่จะเป็นประธานาธิบดี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ความเห็นเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงที่การหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ร้อนแรง
โดยย้อนไปในช่วงการเลือกตั้งขั้นต้นปี 2016 ตอนนั้นผลสำรวจการลงคะแนนหน้าคูหา หรือ Exit Polls ก็ชี้ว่า ผู้ลงคะแนนของรีพับลิกันที่ไม่สนับสนุนทรัมป์ 75% แสดงความเห็นว่าพวกเขาจะไม่พอใจหากทรัมป์ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรค
แต่ในท้ายที่สุดผู้แทนพรรคกว่า 90% ก็ออกเสียงสนับสนุนเขาให้เป็นตัวแทนพรรคชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับ ฮิลลารี คลินตัน
ปัจจัยเสี่ยงของไบเดน
สำหรับไบเดนนั้น แม้จะชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นและได้เป็นตัวแทนพรรคอีกสมัย แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เขาไม่สามารถรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีไว้ได้
โดยในช่วงที่ผ่านมาไบเดนเผชิญกระแสวิจารณ์จากการบริหารนโยบายและท่าทีทางการเมืองต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ จนทำให้คะแนนนิยมค่อนข้างตกต่ำ
หนึ่งในประเด็นร้อนคือ กรณีสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งการแสดงออกถึงการสนับสนุนอิสราเอลในการบุกกาซาสามารถทำให้ผู้สนับสนุนเขาหรือผู้สนับสนุนเดโมแครตบางส่วนที่ต่อต้านการกระทำของอิสราเอลเปลี่ยนใจไม่ลงคะแนนให้เขา
ซึ่งแม้ว่าปัจจัยจากกลุ่มผู้ลงคะแนนดังกล่าวอาจจะไม่ใช่จำนวนที่มากนัก แต่เนื่องจากการชิงชัยระหว่างไบเดนกับทรัมป์นั้นถูกคาดหมายว่าจะเป็นการแข่งขันที่สูสี ทำให้คะแนนโหวตหลักหมื่นเสียงอาจส่งผลชี้วัดได้ โดยเฉพาะในรัฐสมรภูมิ (Battleground States) ที่มีความไม่แน่นอนว่าผู้สมัครคนใดจะคว้าชัยชนะ
#เลือกตั้งสหรัฐ2024
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เลือกตั้งสหรัฐ 2024 : ทรัมป์ โจมตี ไบเดน ชี้เป็น ‘ประธานาธิบดีที่ห่วยที่สุด’ ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
- เลือกตั้งสหรัฐ 2024 : Super Tuesday คึกคัก ผลโพลชี้ ไบเดน-ทรัมป์ คว้าชัยต่อเนื่อง
อ้างอิง: