ธนาคารกสิกรไทยแจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/65 มีกำไรสุทธิ 1.12 หมื่นล้านบาท เติบโต 5.5% อานิสงส์รายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 12.86% จากการเติบโตของสินเชื่อใหม่ ขณะที่หนี้เสียเพิ่มจาก 3.76% เป็น 3.78%
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส 1/65 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิจำนวน 11,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 584 ล้านบาท หรือ 5.50% หลักๆ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 3,618 ล้านบาท หรือ 12.86% จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ส่วนใหญ่เกิดจากการให้สินเชื่อใหม่ตามยุทธศาสตร์ของธนาคารแก่ลูกค้าที่มีศักยภาพ และมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าโดยการเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติ รวมทั้งลูกค้าบางส่วนยังอยู่ภายใต้มาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารยังคงต้องมีการบริหารจัดการดอกเบี้ยค้างรับอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 3,032 ล้านบาท หรือ 25.49% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 859 ล้านบาท หรือ 5.20% หลักๆ จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาด รวมทั้งธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 686 ล้านบาท หรือ 7.93% สอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โควิด และแนวโน้มจากเศรษฐกิจโลก
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4/64 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1,310 ล้านบาท หรือ 13.23% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 951 ล้านบาท หรือ 3.09% ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.19% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 2,861 ล้านบาท หรือ 24.40% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลงจำนวน 3,088 ล้านบาท หรือ 15.08% เนื่องจากในไตรมาสก่อนมีค่าใช้จ่ายในกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายทางการตลาดซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 42.82%
นอกจากนี้ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยยังคงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โควิด และแนวโน้มจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 158.33% เป็นระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,133,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 จำนวน 29,849 ล้านบาท หรือ 0.73% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL Gross) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 3.78% โดยธนาคารมีการติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับ 3.76% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ 18.34% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.35%
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP