×

คาริม เบนเซมา กับ ‘จุดโทษแบบปาเนนกา’ บทสรุปที่ดีที่สุดสำหรับเกมคลาสสิกยุโรป

27.04.2022
  • LOADING...
คาริม เบนเซมา

HIGHLIGHTS

3 mins. read
  •  แค่ 93 วินาที นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกปัจจุบันอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ก็อาสาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายของเรอัล มาดริดได้สำเร็จ ก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะบวกสกอร์เพิ่มได้อีกในนาทีที่ 11 ของการแข่งขัน ทำให้ทุกคนคิดว่าเกมนี้อาจจะจบแล้ว
  • แต่ ณ จุดนี้เองที่เรอัล มาดริดแสดงให้เห็นว่าถึงจะสะบักสะบอมแค่ไหนพวกเขาก็พร้อมฉกฉวยโอกาสที่คู่แข่งพลาดเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีนักเตะระดับเบนเซมาอยู่ในทีม นั่นหมายถึงพวกเขาไม่เคยหมดหวัง

หากเกมพรีเมียร์ลีกที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เสมอกับลิเวอร์พูล 2-2 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเกมฟุตบอลที่ดีที่สุดของยุคสมัยใหม่แล้ว เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อคืนที่ผ่านมา (26 เมษายน) ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของ ‘เรือใบสีฟ้า’ ที่มีเหนือ ‘ราชันชุดขาว’ ก็เข้าข่าย ‘คลาสสิก’ ไม่ได้แตกต่างกันเลย

 

ในบางช่วงอารมณ์ความรู้สึกแล้วอาจจะไต่ระดับไปได้สูงกว่าด้วยซ้ำ

 

การกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ผ่านมากับสโมสรที่ได้ชื่อว่าเป็น​ ‘ราชา’ ของลูกหนังยุโรปอย่างเรอัล มาดริด ครั้งนี้ถูกจับตามองในแบบที่แตกต่างกันออกไปจากการพบกันก่อนหน้านี้

 

ครั้งแรกที่ทั้งสองสโมสรต้องโคจรมาพบกันในแชมเปียนส์ลีกเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ในการแข่งรอบแรกโดยขณะนั้นแมนฯ ซิตี้ใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต มันชินี อยู่ในระหว่างการยกระดับตัวเองขึ้นมาสู่การเป็นสโมสรระดับแถวหน้าหรือระดับ Elite ของยุโรป ตรงข้ามกับเรอัล มาดริด ซึ่งอยู่ในการดูแลของ โชเซ มูรินโญ นั้นถือเป็นหนึ่งในสุดยอดสโมสรของโลกมานานนม

 

การพบกันครั้งนั้นจึงเป็นโอกาสที่แมนฯ ซิตี้จะได้สัมผัสกับความรู้สึกของการพบกับทีมในระดับสูงสุดของยุโรป ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่เหล่าผู้อยู่เบื้องหลังเงินทุนของสโมสรปรารถนาที่จะนำพาสโมสรแห่งนี้ไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเกมกีฬา หรือเหตุผลทางการเมืองที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

 

เกมแรกที่ซานติอาโก เบนาร์เบว จบลงด้วยชัยชนะของโลส บลังโกส 3-2 ก่อนที่จะเสมอกันที่เอติฮัด สเตเดียม 1-1

 

ก่อนที่ทั้งสองทีมจะมีโอกาสพบกันอีก 2 คราในรายการนี้ โดยในฤดูกาล 2015/16 เป็นการพบกันในรอบรองชนะเลิศและจบลงด้วยชัยชนะของเรอัล มาดริดแบบหวุดหวิดด้วยผลรวมสองนัดแค่ 1-0

 

และการพบกันครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในฤดูกาล 2019/20 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งคราวนี้แมนฯ ซิตี้เอาคืนได้บ้างด้วยการเขี่ยเรอัล มาดริดในสภาพที่เริ่มโรยราและหลงทางด้วยการชนะด้วยสกอร์ 2-1 ทั้งเกมเหย้าและเยือน

 

จากทิศทางจะพอมองเห็นได้ว่าระยะเวลา 10 ปีนับจากการพบกันครั้งแรก ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์กำลังมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับเรอัล มาดริดได้แล้ว สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำคือการพิสูจน์ตัวเองผ่านการเล่นในสนาม

 

เพราะการจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับผู้ปกครองของวงการฟุตบอลยุโรป สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องของฝีเท้าหรือทีมเวิร์ก แต่เป็นเรื่องหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้เรอัล มาดริดครองความเป็นหนึ่งในยุโรปได้ทั้งๆ ที่ในหลายช่วงเวลาพวกเขาไม่ได้มีทีมที่ดีที่สุดด้วยซ้ำไป

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กล่าวไว้ก่อนเกมว่า “ประวัติศาสตร์นั้นเกิดขึ้นและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้” สิ่งที่ซิตี้ต้องทำให้ดีที่สุดคือการลงสนามและทำให้ทุกคนได้เห็น

 

และเหล่านักเตะซิติเซนส์ก็ทำได้อย่างที่เจ้านายต้องการ


พวกเขาลงสนามด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ามันถึงยุคที่แมนฯ ซิตี้จะต้องครองจ้าวยุโรปแล้วด้วยการเปิดฉากถล่มเรอัล มาดริดตั้งแต่ต้นเกม

 

แค่ 93 วินาที นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกปัจจุบันอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ก็อาสาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายของเรอัล มาดริดได้สำเร็จ ก่อนที่ กาเบรียล เชซุส จะบวกสกอร์เพิ่มได้อีกในนาทีที่ 11 ของการแข่งขัน

 

เควิน เดอ บรอยน์ ทำประตูแรกให้ทีมตั้งแต่ 93 วินาทีแรก

 

2 ประตูในระยะเวลาเท่านั้นทำให้ทุกคนเชื่อว่าเกมนี้อยู่ในมือของแมนฯ ซิตี้แล้ว และความจริงพวกเขาก็ควรจะนำห่างถึง 4-0 ไปด้วยซ้ำ ในระหว่างที่นักเตะเรอัล มาดริดยังตั้งกระบวนท่ารับมือไม่ถูกเพราะคู่แข่งของพวกเขาทั้งเร็ว แกร่ง เปี่ยมด้วยเทคนิค และมีความเข้าใจในการเล่นที่น่าเหลือเชื่อ

 

เดอ บรอยน์ – ผู้ซึ่งปรารถนาจะมีโอกาสแก้ตัวในนัดชิงชนะเลิศอีกครั้งหลังจากที่เจอฝันร้ายในนัดชิงปีกลาย – ทำทุกอย่างได้ตามที่เขาต้องการ ขณะที่ ฟิล โฟเดน, ริยาด มาห์เรซ รวมถึงเชซุส ทำให้แนวรับของมาดริดกลายเป็นกระดาษเปียกน้ำ

 

แต่ ณ จุดนี้เองที่เรอัล มาดริดแสดงให้เห็นว่าถึงจะสะบักสะบอมแค่ไหนพวกเขาก็พร้อมฉกฉวยโอกาสที่คู่แข่งพลาดเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีนักเตะระดับ คาริม เบนเซมา อยู่ในทีม นั่นหมายถึงพวกเขาไม่เคยหมดหวัง

 

แค่เสี้ยววินาทีที่ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก เผลอ ดาวยิงวัย 34 ปีก็ดอดเข้าฮอสจากการเปิดบอลของ แฟร์ล็องต์ ม็องดี ทำประตูไล่ตีตื้นขึ้นมา และทำให้สถานการณ์ในเกมกลับมาทวีความเข้มข้นอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะระอุยิ่งกว่าเดิมในครึ่งหลัง

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมอาจเป็นอาการเจ็บของ จอห์น สโตนส์ ซึ่งเจ็บอยู่เดิมแต่ถูกส่งไปประจำการในตำแหน่งแบ็กขวาเนื่องจาก ไคล์ วอล์กเกอร์ บาดเจ็บ และ ชูเอา กานเซโล ติดโทษแบน สุดท้ายฝืนไม่ไหวเป็นแฟร์นันดินโญที่ลงมาแทน

 

ความแข็งแกร่งของจอมเก๋าชาวแซมบ้านั้นยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่ในวันนี้ที่เขาต้องเจอกับสายฟ้าสีดำอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ ที่พาบอลผ่านไปได้ก่อนโซโล่เดี่ยวเข้าไปยิงให้เรอัล มาดริดไล่ตามมาอีกครั้งเป็น 2-3 หลังจากที่โฟเดนเพิ่งจะทำประตูให้แมนฯ ซิตี้นำ 3-1 เมื่อ 2 นาทีก่อนหน้า

 

วินิซิอุส จูเนียร์ สายฟ้าสีดำของราชันชุดขาวช่วยนำมาดริดกลับมาสู่เกมในช่วงต้นครึ่งหลัง

 

และทั้งคู่ต่างก็ยังไม่ยอมกันเหมือนเดิม แบร์นาโด ซิลวา ทำประตูให้แมนฯ ซิตี้หนีห่างออกไปเป็น 2 ลูกอีกครั้ง ราชันชุดขาวก็ยังไม่ยอมศิโรราบง่ายๆ เมื่อเบนเซมาเรียกจุดโทษให้กับทีมได้

 

ในสถานการณ์ที่เกมกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด อะดรีนาลีนทั้งนักเตะและผู้ชมไม่ว่าจะอยู่ในสนามหรือดูบนหน้าจอทางบ้านกำลังพลุ่งพล่าน สิ่งที่ศูนย์หน้าชาวฝรั่งเศสทำคือการทำสิ่งที่ต้องอาศัยความเยือกเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง

 

เบนเซมาเลือกการยิงจุดโทษแบบปาเนนกา – วิธีการยิงจุดโทษที่มีชื่อเสียงที่สุดตามตำนานของ อันโตนิน ปาเนนกา ที่ยิงจุดโทษตัดสินให้เชโกสโลวาเกียสยบเยอรมนีตะวันตกได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 1976

 

และเขาทำสำเร็จ

 

ในช่วงเวลาที่เหลือนั้นแม้ว่าเรอัล มาดริดจะไม่สามารถทวงประตูตีเสมอได้ แต่อย่างน้อยประตูของเบนเซมาที่ทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์แมนฯ ซิตี้ชนะ 4-3 นั้น ทำให้ประตูยังเปิดกว้างสำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน

 

แต่สิ่งที่มีความหมายมากกว่านั้นคือการที่คนรักฟุตบอลทั่วโลกได้เห็น ‘ทุกสิ่งที่สวยงามที่สุดในเกมฟุตบอล’ ผ่านเกม 90 นาทีที่เอติฮัด สเตเดียม

 

การเล่นที่ยอดเยี่ยม ชั้นเชิงลูกหนัง ประตูที่สวยงาม การไล่ตามกันอย่างไม่ลดละ หัวใจนักสู้ และศิลปะการยิงจุดโทษชั้นสูงสุดที่ต้องอาศัยมากกว่าแค่ทักษะและประสบการณ์

 

เป็นบทสรุปที่งดงามที่สุดสำหรับเกมระดับคลาสสิกขึ้นหิ้งนัดนี้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising