×

จุติให้ความมั่นใจผู้สูงอายุ ได้เบี้ยยังชีพเหมือนเดิม 100% ฝาก รมว.พม.คนใหม่ “คิดถึงทุกกลุ่ม รักทุกคน เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขดีกว่า”

โดย THE STANDARD TEAM
15.08.2023
  • LOADING...

วันนี้ (15 สิงหาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวกรณีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุว่า กระทรวงมหาดไทยไม่ได้โยนมายังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเขาทำตามระเบียบ ตามกฎหมาย เพราะทุกคนไม่อยากทำผิดกฎหมาย รัฐธรรมนูญเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนตาม และต้องคอยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนดเกณฑ์ พร้อมชี้แจงรายละเอียดความชัดเจนขณะนี้ 

 

  1. ทุกคนได้รับเบี้ยยังชีพเหมือนเดิมทุกประการ 100% ไม่มีใครตกหล่น 
  2. ต้องรอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ 
  3. เป็นแนวทางเลือก ตามมารยาทแล้วอยู่ที่รัฐบาลใหม่ว่าให้ทำอย่างไร 
  4. ความกังวลว่าเวลาให้ต้องคำนึงถึงกลุ่มอื่นๆ ของสังคมด้วย ซึ่งมีเด็ก 21 ล้านคน คนพิการ 3 ล้านคน ผู้สูงอายุ 11 ล้านคน

 

จุติกล่าวอีกว่า ผู้สูงอายุที่แสดงสิทธิ 11 ล้านคน รับอยู่ 89,000 ล้านบาท มีคนที่จนจริงๆ เพียง 4 ล้านคน ต้องถามว่าคนที่เป็นรัฐบาลมีงบประมาณที่จำกัด จะเอาเงินไปช่วยคนที่จนที่สุดของประเทศก่อนหรือไม่เท่านั้นเอง ซึ่งหากรัฐบาลใหม่มาบอกว่าพร้อมที่จะให้เงินเดือนละ 3,000 บาท ก็ต้องไปเก็บภาษีมาให้ได้ปีละ 720,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทั้งกระทรวงได้รับงบประมาณอยู่ 8,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นคุณต้องไปหางบประมาณมาอีก 9 เท่า 

 

จุติยืนยันว่า ไม่ได้วางกรอบหรือเงื่อนไขระยะเวลาให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติวิเคราะห์หลักเกณฑ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นคนเลือกว่าจะให้อย่างไร พร้อมย้ำว่าตอนนี้ยังจ่ายเงินปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไร 100% รับเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีใครตกหล่นแม้แต่คนเดียว เพราะมีบทเฉพาะกาลอยู่ ส่วนคาดว่าจะสามารถออกหลักเกณฑ์ได้ช่วงไหนนั้น อยู่ที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะตัดสินและส่งให้รัฐบาลใหม่ 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะให้ความมั่นใจกับประชาชนอย่างไร เพราะหลายคนกังวลจะถูกตัดเบี้ยผู้สูงอายุ จุติกล่าวย้ำว่า “วันนี้ผู้สูงอายุยังได้รับเบี้ยยังชีพ 100% เหมือนเดิมไม่สะดุด งบประมาณก็กันเอาไว้แล้ว งบปี 2566 จะจบเดือนกันยายนนี้ และงบประมาณปี 2567 เพิ่มเป็น 110,000 ล้านบาท เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายการเมืองออกมาท้วงติง อย่าง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความเห็นว่าเป็นการลักไก่ช่วงรัฐบาลรักษาการนั้น จุติกล่าวว่า “วาทกรรมก็พูดได้ แต่ว่าเราอยู่ที่สามัญสำนึก จิตสำนึก และทำให้คนส่วนใหญ่เถอะ ผมไม่ทะเลาะการเมือง อยากฝากทุกคนใครจะทำอะไรก็ได้ ความสะใจไม่ได้ให้อะไรใครสักคนเดียว ซึ่งการเลือกตั้งจบไปแล้วตั้ง 2 เดือนให้คนไทยรักกันดีกว่า ขอร้อง”

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตอนหาเสียงมีนโยบายจะเพิ่มเงินผู้สูงอายุ แต่พอเลือกตั้งเสร็จจะมาลดเบี้ย จุติกล่าวว่า เพราะได้ข้อมูลผิดไงครับ ก่อนจะย้ำว่า ทุกคนที่ได้รับก็ยังคงได้รับเหมือนเดิม

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การกำหนดการปรับหลักเกณฑ์ของผู้มีรายได้น้อยจะวัดอย่างไร จุติกล่าวว่า ต้องไปดูที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้เพียงพอนั่นแหละจะตัดที่เท่าไร จะตัดที่ตัวเลขหรือเส้นแบ่งความยากจน แต่สิ่งที่นักการเมืองทุกคนไม่เคยพูดให้ประชาชนรับทราบว่า “ประเทศที่เขาเจริญแล้วที่เราทำตามเขา เขามีการพิสูจน์สิทธิ เช่น ออสเตรเลีย, เยอรมนี, อังกฤษ และสหรัฐฯ คือมีการวัดว่าคุณลำบากจริง รายได้ไม่พอจริง ก็ควรจะไปช่วยเหลือ โอเคนะวันนี้เราบอกว่าเราให้ถ้วนหน้าก็โอเคครับ ถ้ามีสตางค์ วันนี้คุณยังเห็นเด็กที่ยังไม่มีเงินได้เรียนหนังสือ กองทุนเสมอภาคเพื่อการศึกษายังอยากมีงบประมาณเพิ่มขึ้น ดังนั้นจะให้กระจายทุกกลุ่มหรือไม่ หรือจะให้เฉพาะกลุ่ม คนเป็นรัฐบาลก็ต้องมองให้ถ้วน ผมว่าขอให้คิดถึงความเป็นมนุษย์ อย่าไปคิดถึงคะแนนเสียง

 

จุติยังระบุว่า เดิมทีรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ไม่ควรรับเงินซ้อนจากรัฐ ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว และอันใหม่ระบุว่า ให้คนที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องไปดูว่าตรงนั้นคืออะไร ไม่มีอะไรยาก ทำใจให้สบาย รักทุกคน และด้วยมารยาทตน คงไม่ไปเรียกคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมาประชุม เพราะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คนใหม่ 

 

“ด้วยความเคารพทุกท่าน อยากให้แยกให้ออกว่านโยบายพรรคการเมือง กับนโยบายของรัฐบาล และโครงสร้างของประเทศ โครงสร้างการคลัง ประเทศไทยไม่ได้เผื่อไว้ หรือออกแบบมาเพื่อเป็นรัฐสวัสดิการ ดังนั้นหากจะต้องเปลี่ยนระบบเป็นระบบรัฐสวัสดิการ ต้องมีคนรับผิดชอบเยอะ วันนี้มีผู้ยื่นเสียภาษี 11 ล้านคน เสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน ดังนั้นต้องขยายฐานภาษี และภาษีมูลค่าเพิ่มของต่างประเทศเขาอยู่ที่ 22% ของไทยเราอยู่ที่ 7% ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเขาอยู่ที่ 39% เราอยู่ที่ 20% ส่วนภาษีท้องที่เขาอยู่ที่ 12% เราอยู่ที่ 0.5% กับ 1% เพราะฉะนั้นเราต้องมาถามว่าคนไทยพร้อมหรือยัง คุยกันทั้งประเทศ นักการเมือง พรรคการเมืองก็ต้องฟัง ทั่วทุกกลุ่ม” จุติกล่าว

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ จุติพยักหน้ารับ พร้อมระบุว่า ด้วยความรับผิดชอบ ส่วนอยากจะฝากอะไรไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คนใหม่หรือไม่นั้น “ขอให้คิดถึงทุกกลุ่ม รักทุกคน เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขดีกว่า”

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่กลับมากระทรวงเดิมแล้วใช่หรือไม่ จุติระบุว่า ไม่มีใครทราบ เดี๋ยวเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่แล้ว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising