×

จูเลียน เอเดลแมน: จากคนที่ถูกมองข้ามสู่ฮีโร่ใน ‘ซูเปอร์โบวล์’

04.02.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • การรับบอล 10 ครั้ง กับระยะ 141 หลา ในเกมที่เอเดลแมนได้ทำทุกอย่างเพื่อทีมนิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ทำให้เขาได้รางวัล MVP ในซูเปอร์โบวล์ไปครอง
  • ย้อนหลังกลับไป 10 ปีก่อน ในตอนที่เอเดลแมนยังเป็นรุกกี้ (Rookie) เขาต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้รุ่นพี่อย่างเบรดีสนใจ
  • เอเดลแมน ใช้เวลามากถึง 4 ปีในการ ‘ชนะใจ’ ของเบรดี โดยในปีที่ 4 เขาเริ่มเป็นสมาชิกประจำของกลุ่ม และได้รับการชวนจากเบรดีให้มาทานอาหารกลางวันด้วยกันที่บ้านของควอเตอร์แบ็กที่เป็นพระเอกตลอดกาลของทีม
  • โค้ชเก่าของเขา สตีฟ นิโคโลปูลอส บอกนิสัยของเขาไว้ชัดเจน “จูเลียนมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเราไปบอกเขาว่าเขาทำสิ่งนี้ไม่ได้หรอก เขาจะพิสูจน์ให้เราเห็นว่าเราคิดผิด มันมาจากจิตใจของเขา มันคือความมุ่งมั่นเฉพาะตัวของเขา”

ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 53 เป็นเกมที่แตกต่างจากซูเปอร์โบวล์หลายครั้งที่ผ่านมาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และบางครั้งต้องลุ้นระทึกกันถึงฎีกาในช่วงของการต่อเวลา

 

เกมรับที่แข็งแกร่งของ แอลเอ แรมส์ เช่นกันกับ นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ทำให้การแข่งขันเต็มไปด้วยความอึดอัด และเป็นนัดชิงซูเปอร์โบวล์ที่ทำคะแนนกันได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่เพเทรียตส์จะชนะและคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ซึ่งกลายเป็นสถิติสูงสุดเทียบเท่ากับ พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส ไปอย่างหวุดหวิดด้วยคะแนน 13-3

 

สกอร์ที่น้อยนั้นทำให้เป็นเรื่องยากมากครับที่จะมองหาผู้เล่นที่โดดเด่นที่คู่ควรกับรางวัล MVP หรือผู้เล่นทรงคุณค่าของซูเปอร์โบวล์ประจำปีนี้ ซึ่งแม้แต่ ทอม เบรดี สุดยอดควอเตอร์แบ็กระดับตำนานตลอดกาลเองก็ไม่ดีพอที่จะเป็นเจ้าของ MVP ในปีนี้

 

อย่างไรก็ดีมันกลับทำให้ผู้เล่นคนหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่เคยสนใจเขามาก่อนอย่าง จูเลียน เอเดลแมน ได้กลายเป็นคนที่ถูกแสงสปอตไลต์ส่องลงมา

 

การรับบอล 10 ครั้ง กับระยะ 141 หลาในเกมที่เขาได้ทำทุกอย่างเพื่อทีมทำให้ผู้เล่นตำแหน่งไวด์ รีซีฟเวอร์ หรือความจริงควรจะเรียกตำแหน่งของเขาว่า สลอต รีซีฟเวอร์ ได้รางวัล MVP ไปครอง

 

 

รางวัลนี้ช่วยลบฝันร้ายของเอเดลแมนที่พลาดการเล่นตลอดทั้งฤดูกาลที่แล้ว และพลาดซูเปอร์โบวล์เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงที่เอ็นหลังหัวเข่า ซ้ำยังถูกลงโทษแบนห้ามไม่ให้ลงสนามใน 4 นัดแรกของฤดูกาล

 

ภาพการโผเข้าสวมกอดจาก เบรดี ‘ลูกพี่’ ที่เขารักและรักเขามากที่สุด หลังเกมจบลงยิ่งทำให้เรื่องราวนี้น่าประทับใจมากยิ่งขึ้นครับ

 

เพราะมันคือการสวมกอดกันของยอดนักกีฬาต่างวัยสองคน ที่เป็นดั่งเงาของกันและกัน ต่างกันที่คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้งแสงส่องลงมาเสมอ ขณะที่อีกคนเป็นคนที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนอย่างเงียบๆ จนกระทั่งวันนี้ที่เราได้เห็นแล้วว่าคนแบบเอเดลแมน ก็เป็นคนสำคัญที่ไม่แพ้ใครเหมือนกัน

 

“I love you, bro,” เบรดีบอกกับคนที่เขารักเหมือนน้องชาย

 

ขณะที่เอเดลแมนเมื่อถูกถามกับช่วงเวลาพิเศษระหว่างเขากับเบรดี คำตอบของเขาก็สร้างรอยยิ้มให้กับแฟนๆ และคนที่ได้ยินว่า “ผมคิดว่าเขากอดผมนะ ผมไม่ได้กอดเขา”

 

 

“คืนนี้ผมแค่พยายามจะเปิดพื้นที่และไปรับบอล ส่วนการกอดกับทอมในคืนนี้มันคือเรื่องของคนสองคนที่รักในเกมฟุตบอล (อเมริกันฟุตบอล) ผมเหมือนอยู่ในความฝัน”

 

แต่ถึงจะปากแข็งแค่ไหน ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างเบรดีและเอเดลแมน ไม่ใช่เรื่องลึกลับสำหรับคนที่ติดตามอเมริกันฟุตบอลอยู่เสมอครับ

 

ระหว่างทั้งสอง พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมานับ 10 ปี นับตั้งแต่ที่เอเดลแมนถูกดราฟต์เข้ามาสู่ทีมนิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ จนกระทั่งวันนี้ที่เขากลายเป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกที่ เบรดี ‘เชื่อใจ’ มากที่สุด

 

ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ มันแลกมาด้วยอะไรหลายอย่าง

 

รวมถึงความฝันในการจะเป็นควอเตอร์แบ็กของเอเดลแมน ที่ต้องโยนทิ้งลงข้างทางเมื่อเขารู้ตัวดีว่าไม่มีทางที่เขาจะทำได้ดีกว่าเบรดี ผู้เล่นที่เกิดมาเพื่อเป็นตำนาน

 

ย้อนหลังกลับไป 10 ปีก่อน ในตอนที่เอเดลแมนยังเป็นรุกกี้ (Rookie) เขาต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้รุ่นพี่อย่างเบรดีสนใจ

 

ทำแม้กระทั่งการหาที่พักในช่วงปิดฤดูกาลไปอยู่ใกล้ๆ กับเบรดี ในย่านหาดแมนฮัตตัน แคลิฟอร์เนีย

 

เขาไม่ได้อยากจะไปตีสนิทด้วยการไปนั่งเล่นในบ้านของรุ่นพี่ แต่เขาแค่อยากจะอยู่ใกล้ๆ เผื่อว่าหากเบรดีมีการซ้อมปาบอลจะโทรหาและชวนเขาออกไปซ้อมด้วยกัน เหมือนที่ปกติเบรดีจะไปซ้อมกับ เวส วอล์กเกอร์ และแรนดี มอสส์

 

แต่แน่นอนว่าหากมีอะไรที่เบรดีต้องการเขาพร้อมจะออกไปหามาให้ หรือหากมีอะไรที่เขาช่วยได้เขาก็ยินดีจะทำทุกอย่าง

 

อะไรก็ได้ขอให้ได้อยู่ในสายตาของเบรดี และเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองให้เห็น

 

เอเดลแมนใช้เวลามากถึง 4 ปีในการ ‘ชนะใจ’ ของเบรดี โดยในปีที่ 4 เขาเริ่มเป็นสมาชิกประจำของกลุ่ม และได้รับการชวนจากเบรดี ให้มาทานอาหารกลางวันด้วยกันที่บ้านของควอเตอร์แบ็กที่เป็นพระเอกตลอดกาลของทีม

 

มิตรภาพที่เริ่มจากจุดนั้นได้พัฒนาต่อมากลายเป็นความสัมพันธ์แบบ ‘พี่-น้อง’ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

 

และความสัมพันธ์นั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นผลงานในสนามที่ยอดเยี่ยมที่สุด

 

ในบันทึกของ NFL ไม่มีคู่ควอเตอร์แบ็กและรีซีฟเวอร์คนไหนที่จะทำผลงานในรอบเพลย์ออฟได้ดีเท่ากับคู่ของเบรดี-เอเดลแมนอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับบอลมากที่สุด (115)​ และระยะการรับบอลล (1,412 หลา)

 

ผลงานของทั้งคู่ดียิ่งกว่าคู่ของเพย์ตัน แมนนิง กับเรจจี เวย์น หรือแม้แต่ ทอม เบรดี กับ ร็อบ กรอนคอฟสกี ไทเอนด์ซูเปอร์สตาร์อีกคนของเพเทรียตส์เสียด้วยซ้ำไป

 

เบรดีเคยพูดถึงเอเดลแมนว่า “ใช่ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ ระหว่างจูลส์ (ชื่อเล่นของเอเดลแมน) กับผม และผมก็เชื่อใจเขามาก เราใช้เวลาร่วมกันหลายชั่วโมง”

 

เอเดลแมนเองก็ยอมรับว่าเขามีวันนี้ได้เพราะลูกพี่เหมือนกัน “เขาช่วยเหลือผมอย่างมาก เขามีส่วนสำคัญอย่างมากในเรื่องของการเตรียมจิตใจที่เขาสอนผมโดยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และเขาเป็นผู้เล่นแบบไหน มีความเป็นมืออาชีพอย่างไร เป็นพ่อที่ดีอย่างไร และเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีอย่างไร ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมเล่นกับคนแบบนี้”

 

 

แต่ลำพังเพียงแค่ความช่วยเหลือจากเบรดี ย่อมไม่เพียงพอต่อการก้าวมาถึงจุดนี้ได้ สิ่งที่นำเอเดลแมนมาถึงตรงนี้ได้คือความพยายามที่ไร้ขีดจำกัดของตัวเขาต่างหาก

 

โค้ชเก่าของเขา สตีฟ นิโคโลปูลอส บอกนิสัยของเขาไว้ชัดเจน “จูเลียนมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเราไปบอกเขาว่าเขาทำสิ่งนี้ไม่ได้หรอก เขาจะพิสูจน์ให้เราเห็นว่าเราคิดผิด มันมาจากจิตใจของเขา มันคือความมุ่งมั่นเฉพาะตัวของเขา”

 

ขณะที่เบรดียกย่องเอเดลแมนที่เป็นฮีโร่ของทีมในเวลาที่ทีมต้องการเสมอว่า “เขาเป็นนักสู้ ไอ้หนูคนนี้น่ะ ผมภูมิใจในตัวเขามาก เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมเพลย์ออฟเสมอ และเขาก็ทำให้เราได้เห็นชัดขึ้นอีกครั้งในปีนี้ว่าความสามารถที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอย่างไร”

 

ตรงนี้สำคัญนะครับ และเป็นสิ่งที่เราน่าจะเรียนรู้กันได้

 

บางครั้งเราอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนที่ยืนอยู่แถวหน้า ไม่ใช่คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด บางทีอาจจะไม่มีใครสนใจหรือพูดถึงเราเลยก็ได้ แต่มันไม่ได้แปลว่าเราไม่มีความสำคัญ

 

ตราบใดที่เราทำ ‘หน้าที่’ ของตัวเองอย่างดีที่สุด โดยไม่ได้คิดถึงแค่ตนเองหากแต่คิดที่จะทำเพื่อคนอื่น เราก็สามารถจะนำความสำเร็จมาสู่ทีมได้เหมือนกัน

 

“ผมได้รับการสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเราต้องพยายามทำงานอย่างหนัก ทำงานให้หนักเท่าที่เราจะสามารถทำได้ พยายามหาเวลาซ้อมพิเศษ แล้วค่อยรอดูผลลัพธ์ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร”

 

ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร

 

เอเดลแมน แสดงให้เราได้เห็นแล้วในวันนี้ครับ 🙂

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

FYI
  • ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอเดลแมนเล่นในตำแหน่งควอเตอร์แบ็ก แม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่ให้นักก็ตาม แต่สุดท้ายเมื่อขึ้นมาในระดับอาชีพ เขาถูก บิล เบลิชิก โค้ชเพเทรียตส์ ดราฟต์มาในรอบที่ 7 และเป็นในฐานะ ‘ผู้เล่น’ ไม่ใช่ในฐานะควอเตอร์แบ็ก ก่อนจะผันตัวเองมาเล่นในตำแหน่งรีซีฟเวอร์
  • แต่เอาเข้าจริงเอเดลแมนเล่นทั้งเอาต์ไซด์ รีซีฟเวอร์, สลอต รีซีฟเวอร์ และสลอต ดีเฟนเดอร์ จนมีการยกย่องว่าเป็น do-it-all player (ทำได้ทุกอย่าง) หรือบางคนก็เปรียบว่าเป็นเหมือน Swiss Army Knife หรือมีดสวิสที่สารพัดประโยชน์
  • ก่อนจะเข้าสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ เอเดลแมนเคยบอกว่าเขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นผู้เล่นปีกใน NFL สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงแค่ช่วยให้ทีมมหาวิทยาลัยเคนต์ สเตท ของเขาคว้าชัยชนะได้บ้างก็พอแล้ว
  • ปัจจุบันเอเดลแมนเป็นเจ้าของสถิติรับบอลเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลรองจากสุดยอดตำนานรีซีฟเวอร์อย่าง เจอร์รี ไรซ์ ปีกในตำนานของทีมซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนน์เนอร์ส
  • ก่อนจะคว้า MVP ในซูเปอร์โบวล์ครั้งนี้ เอเดลแมนเคยสร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งในนัดชิงเมื่อ 2 ปีที่แล้วกับแอตแลนต้า ฟอลคอนส์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดการคัมแบ็กตลอดกาลของนิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ (จากตามหลัง 3-28 แต้มกลับมาชนะ 34-28) โดยหนึ่งในเพลย์สำคัญคือลูกที่เบรดี ขว้างให้เอเดลแมน ซึ่งอยู่ท่ามกลางผู้เล่นฟอลคอนส์ 3 คน แต่พุ่งไป (และลอดขาหนึ่งในคู่ต่อสู้ด้วย!) และรับบอลได้ สุดท้ายช่วยให้ทีมชนะได้ในที่สุด
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising