×

‘ดอกไม้ในชีวิตของคนเราบานไม่พร้อมกัน’ ก๊อต-จิรายุ ตันตระกูล ต้นแบบนักแสดงที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

30.05.2018
  • LOADING...

“เชื่อไหมว่าดอกไม้ในชีวิตของคนเราบานไม่พร้อมกัน” ผมถาม ก๊อต-จิรายุ ตันตระกูล นักแสดงหนุ่มวัย 29 ที่ล่าสุดเพิ่งถูกจดจำจากบทบาท ‘หลวงสรศักดิ์’ ในละครที่โด่งดังในระดับปรากฏการณ์แห่งปีอย่าง ‘บุพเพสันนิวาส’

 

ก๊อตยิ้มตอบกลับมาว่า “เชื่อ” ทั้งยังแนบทัศนะเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “คนที่ประสบความสำเร็จบนโลก ทุกคนล้วนมีภูเขากันคนละลูก มีทางที่ใช้เดินกันคนละเส้น แต่สุดท้ายทุกคนก็จะขึ้นไปยืนอยู่บนยอด เพราะฉะนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าผมหาทางของตัวเองให้เจอ แล้วดำเนินชีวิตไปในแบบของตัวเอง”

 

ย้อนกลับไป 9 ปีก่อน ก้าวสำคัญในวงการบันเทิงของก็อต จิรายุ เริ่มต้นขึ้นหลังจากเป็นผู้ชนะในรายการกึ่งเรียลิตี้โชว์ The Idol Project 1 หลังจากนั้น ถึงแม้ว่ามีผลงานละครทางช่อง 3 แทบทุกปี แต่ว่ากันตามจริง ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของเขาเพิ่งจะได้รับการพูดถึงและถูกจับตามองผ่านงานละครคุณชายพุฒิภัทร (2556), บางระจัน (2558), ชาติพยัคฆ์ (2559) และโดดเด่นอย่างถึงที่สุดจาก ‘บุพเพสันนิวาส’ และ ‘คมแฝก’ ที่เพิ่งออกอากาศจบเมื่อไม่นานมานี้เอง

 

บอกเลยว่า THE STANDARD สนใจว่าแล้วขวบปีขณะที่ยังไม่โด่งดัง ยังไม่เป็นที่รู้จัก ก๊อต จิรายุ อยู่ตรงจุดไหนของวงการบันเทิง เขากินอะไร อ่านอะไร สนใจอะไร พัฒนาตัวเองอย่างไร และต้องอดทนแค่ไหนกว่าจะยืนระยะ ฝ่าลม แดด และฝน จนกระทั่งความสำเร็จยืนต้นและผลิดอกออกผลอย่างที่เขาได้รับในวันนี้

 

ลองอ่านสิ่งที่เขาคิดและพูด ไม่แน่ว่าคุณอาจได้แรงบันดาลใจจะพัฒนาตนเอง เหมือนอย่างที่เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วในวันนี้

 

 

ตั้งแต่กระแสละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ โด่งดังไปทั่วประเทศ นักแสดงในเรื่องหลายคนเป็นที่รู้จักมากขึ้น หนึ่งในนั้นรวมถึงคุณด้วย แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก๊อต จิรายุ ก็เดินทางผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน อยากรู้ตอนเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ คุณมีความฝันแบบไหน แตกต่างหรือเหมือนกับวันนี้ยังไงบ้าง

ผมมีความฝันที่จะเป็นนักแสดงครับ ขอเล่าย้อนอดีตให้ฟังก่อน ครั้งหนึ่งผมเคยไปเล่นเป็นตัวประกอบภาพยนตร์เรื่อง มอ ๘ (2549) ได้ถ่ายออกซีนด้วยนะ พอหนังถ่ายเสร็จก็พาแม่ไปดู แต่ปรากฏว่าไม่เห็นตัวเองในโรงหนัง รู้สึกเฟลมาก (หัวเราะ) แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามันเลยเหมือนเป็นแพสชันของผมว่า “คอยดู สักวันหนึ่งเราจะไปอยู่ตรงนั้นให้ได้”

 

ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีกหน่อย จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมได้ดูหนังเรื่อง The Mask of Zorro (2541) ดูแล้วชอบมาก อีกครั้งคือตอน ม.3 ผมไปดูหนังของพี่จา พนม (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ทัชชกร ยีรัมย์) เรื่ององค์บาก (2546) ผมเห็นพี่จาสะกดคนทั้งโรงแล้วก็รู้สึกประทับใจมาก

 

คนที่ประสบความสำเร็จบนโลก ทุกคนล้วนมีภูเขากันคนละลูก มีทางที่ใช้เดินกันคนละเส้น แต่สุดท้ายทุกคนก็สามารถจะขึ้นไปยืนอยู่บนยอด เพราะฉะนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าผมหาทางของตัวเองให้เจอ แล้วดำเนินชีวิตไปในแบบของตัวเอง

 

ผมชอบความรู้สึกของการที่คนจ่ายสตางค์ซื้อตั๋ว แล้วเข้าไปนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ ช่วงเวลาสองชั่วโมงนั้นเราจะลืมทุกอย่าง อยู่กับจอ อยู่กับภาพ ไฟมืดๆ สลัวๆ ปิดเครื่องมือสื่อสาร ไม่พูดคุย (ยิ้ม) ผมชอบความรู้สึกตรงนั้น เลยตั้งใจไว้ว่าจะต้องเป็นนักแสดงให้ได้ แล้ววันหนึ่งพอได้เป็นนักแสดง ผมก็อยากจะเป็นตัวละครตัวนี้ให้ได้ อยากเล่นหนังฮอลลีวูดให้ได้ ซึ่งตอนนี้ก็ทำได้แล้วตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้

 

(ก๊อต จิรายุ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงของภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Gold (2016) แสดงนำโดย แมทธิว แม็กคอนาเฮย์ ซึ่งถ่ายทำในไทย หนังสร้างมาจากเรื่องจริงของนักล่าสมบัติสมัครเล่นชาวอเมริกัน ที่ออกตามล่าหาทองล้ำค่าอย่างไร้จุดหมายที่อินโดนีเซีย)

 

 

ผมจำได้ว่าตอนเข้าวงการมาใหม่ๆ จากการประกวดรายการ The Idol Project 1 ผมฟังคนโน้นพูดที คนนี้พูดที ซึ่งก็แนะนำกันคนละแบบ จนวันหนึ่งก็มีความรู้สึกว่า ทำไมเราต้องใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคนอื่น เราควรจะใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการสิ

 

(The Idol Project รายการทีวีกึ่งเรียลิตี้ เพื่อค้นหานักแสดงหน้าใหม่ ออกฉายฤดูการแรกในปี 2552 ซึ่ง ก๊อต-จิรายุ ตันตระกูล คว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศมาได้)   

 

ช่วงแรกในวงการดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร

สมัยก่อนเราจะมีผู้จัดการคอยดูแล ซึ่งเขามีวิธีคิดหรือแพตเทิร์นว่าการจะเป็นดาราในสังกัด ถ้าอยากมีผลผลิตคุณจะต้องทำแบบนี้ จะต้องเป็นแบบนี้ แต่พอได้ลองทำตามดู ผมรู้สึกว่าแบบนี้มันไม่ใช่ตัวตนของผม และเกิดความสงสัยตามมาว่าคนเราต้องเป็นแพตเทิร์นเดียวกันหมดเลยเหรอจึงจะประสบความสำเร็จ

 

พอโตขึ้น ผมเริ่มมองเห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จบนโลก ทุกคนล้วนมีภูเขากันคนละลูก มีทางที่ใช้เดินกันคนละเส้น แต่สุดท้ายทุกคนก็สามารถจะขึ้นไปยืนอยู่บนยอด เพราะฉะนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าผมหาทางของตัวเองให้เจอ แล้วดำเนินชีวิตไปในแบบของตัวเอง มันคงจะมีความสุขกว่ากันมาก

 

บางคนอาจจะบอกว่าการเป็นตัวของตัวเองมันเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคนอื่น

 

บางคนอาจจะบอกว่าการเป็นตัวของตัวเองมันเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคนอื่น ยกตัวอย่างง่ายๆ ครอบครัวเราอาจจะบอกสอนมาว่า ต้องเรียนให้จบ จบแล้วทำงาน รับเงินเดือน เก็บเงิน แต่งงาน สร้างครอบครัว ฯลฯ แต่ผมรู้สึกว่าแบบนี้ไม่เอา ผมอยากจะเลือกชีวิตของผมเองว่าจะเรียนยังไง ดำเนินชีวิตยังไง

 

ผมเชื่อว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครตัดเกรดใครได้ ไม่มีใครตัดสินใครได้ ในสมุดพกแสดงผลการเรียน อาจจะตัดเกรดให้ผมได้ F ในวิชานี้ แต่ผมไม่เคยเชื่อใบพวกนั้นเลย เพราะผมมองว่าคุณจะรู้จักชีวิตผมได้ยังไงจากการสอบเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง

 

ถ้าไม่เชื่อเรื่องการตัดเกรด อย่างนั้นคุณเชื่อเรื่องการจัดเกรดดารา-นักแสดงในวงการบันเทิงไหม ประมาณว่าดาราคนนี้เกรด A คนนี้เกรด B คนนี้เกรด C การจัดเกรดแบบนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า และเขาวัดกันจากอะไร

ผมมองว่าดารากับนักแสดงต่างกันนะ นักแสดงคือคนที่ทำงานอยู่กับศิลปะการแสดง ดาราคือคนที่ทำงานอยู่ท่ามกลางกระแส อยู่กับชื่อเสียง ความโด่งดัง…ดารามันแปลว่าดวงดาว มันคือสิ่งที่อยู่บนฟ้า อยู่ในที่ที่คนต้องมองขึ้นไป เมื่อก่อนผมก็เลยปฏิเสธการเป็นดารา ผมมุ่งมั่นที่จะเป็นนักแสดงอย่างเดียว ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมไม่ออกงานอีเวนต์ ผมไม่อยากทำอะไรที่รู้สึกว่าไม่ใช่เรา ทำตัวเป็นคนที่ตรงมาก ปะ ฉะ ดะ หักคือหัก

 

แต่พอโตขึ้น ผมมองเห็นว่าตัวเองมีมุมมองที่ผิด เพราะความจริงแล้วความเป็นนักแสดงกับดารามันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน ผมจึงค่อยๆ ปรับวิธีคิด สำคัญที่สุดคือพอโตขึ้น ผมมองเห็นว่าการเป็นคนแบบที่ผมเคยเป็น มันเป็นนิสัยของคนที่ขาดความรู้และขาดการควบคุมตัวเอง  

 

หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆ ปรับ ต่อไปเราจะเป็นดาราด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเป็นตัวเองด้วย ขณะเดียวกันเมื่อต้องทำงานในฐานะนักแสดง เราก็ต้องทำงานตามกระบวนการอย่างที่นักแสดงควรจะเป็น เราต้องรีเสิร์ช ต้องมีวิธีการอ่านบท วิเคราะห์ตัวละคร มีวิธีการฝึกซ้อม มีวิธีเติมสมองของตัวเอง ทุกอย่างมีสเตป เป็นงานที่ละเอียดไม่ต่างอะไรจากงานศิลปะเลย ส่วนงานดาราคือการออกอีเวนต์ เราไปโชว์ตัว นั่นคืองานสร้างความสุขให้กับผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ตรงนั้นเราก็ต้องรับผิดชอบให้เต็มที่ด้วยเช่นกัน  

 

ผมอ่านหนังสือ How To เยอะมาก เพราะผมมองว่า ‘หนังสือ’ มันเป็นประสบการณ์ของผู้อื่นที่เราสามารถเรียนรู้ได้ผ่านการอ่านในราคาถูก แล้วพอเราอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเยอะๆ มันทำให้รู้เลยว่าที่ผ่านมาวิธีคิดของเรามันตื้นเขินมาก

 

คุณจริงจังกับความฝันในวงการนี้มาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า

จริงๆ จังๆ เลยคือตอนอายุ 25 ครับ ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่ผมเดินตามคนโน้นคนนี้จนไม่เป็นตัวเอง จนกระทั่งเราไปเจอเด็กคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุ 21 เป็นเด็กที่มีแพสชันมากในการทำธุรกิจของตัวเอง พอเจอแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย ไอ้เด็กคนนี้มันเหมือนเราเลยในตอนที่อายุเท่ากัน แล้วพอมองดูตัวเองตอนอายุ 25 ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ เราลอสมากเลย เราไม่เป็นตัวของตัวเอง เราไม่กล้าที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ เราไม่กล้าแม้กระทั่งฝันว่าอยากเป็นใครในอนาคต เฮ้ย เราขาดโมเมนต์นี้ไปนานมากแล้วนะ

 

ในขณะที่ผมอายุ 25 ซึ่งคนทั่วไปจะมองว่าเป็นเบญจเพส แต่สำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่ทำให้ผมได้ฉุกคิดว่า ผมกำลังเดินมาผิดทาง และกำลังเป็นหนึ่งในฝูงแกะที่เดินตามๆ กันไป และผมไม่อยากเป็นแบบนั้น  

 

พอคิดได้แล้วทำอย่างไรต่อ  

ช่วงนั้นก็อ่านหนังสือเยอะขึ้น ผมอ่านหนังสือ How To เยอะมาก เพราะผมมองว่า ‘หนังสือ’ มันเป็นประสบการณ์ของผู้อื่นที่เราเรียนรู้ได้ผ่านการอ่าน แล้วพอเราอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเยอะๆ มันทำให้รู้เลยว่าที่ผ่านมาวิธีคิดของเรามันตื้นเขินมาก

 

บางเรื่องเราคิดเล็ก แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาคิดใหญ่ แล้วพอเราคิดเล็ก คิดว่าตัวเองทำได้เท่านี้ มีทัศนคติต่องานที่ไม่ดี มีทัศนคติต่อผู้คนที่ไม่ดี คือเป็นคนคิดลบ แต่พอเราอ่านหนังสือเยอะขึ้น ข้อความในหนังสือมันค่อยๆ ผสมผสานจนตกผลึกว่า เฮ้ย เราควรจะคิดให้ไกลกว่าเดิมนะ เราควรจะตั้งเป้าหมายในการดำเนินชีวิต และเราควรจะใช้ชีวิตให้มีความสุข

 

ตอนนั้นเราตั้งคำถามเยอะมาก ตั้งคำถามแม้กระทั่งว่าเราเกิดมาทำไม จนทุกวันนี้มันกลายเป็นคำถามไร้สาระไปแล้ว เพราะแทนที่จะมานั่งถามตัวเองว่าเกิดมาทำไม เปลี่ยนคำถามดีกว่าว่าเราจะเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใด มันกว่าเยอะ (หัวเราะ)

 

ปกติเวลาผมอยากทำคลิปเรื่องอะไร ผมจะลิสต์คร่าวๆ ไว้หนึ่งวันว่าอยากคุย อยากบอกเรื่องอะไร โดยมีมาตรฐานว่า เรื่องนี้จะเกิดประโยชน์กับคนในเพจ ข้อมูลเหล่านี้ที่ผมทำ ถ้าเปรียบเป็นอาหาร มันก็เหมือนของชิมฟรีที่อยู่ในห้าง ได้แค่อร่อย แต่ชิมเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่ม แต่ถ้าอยากอิ่ม ต้องอ่านหนังสือเต็มๆ เล่ม

 

อ่านหนังสือ How To อย่างเดียวเลยหรือ ประเภทอื่นๆ อ่านด้วยไหมครับ

อ่านหมดเลยครับ ผมอ่านหนังสือเยอะมาก อ่านทุกประเภท ผมมองการอ่านหนังสืออย่างนี้ครับ สมมติว่าคนต่างจังหวัดอยากเข้ามาในเมือง แต่เขารู้ทางแค่เส้นเดียว เขาก็จะยึดติดอยู่กับเส้นทางเดิมๆ ที่ตัวเองคุ้นชิน แต่ผมไม่ทำแบบนั้น ผมอยากจะดูว่าคนอื่นเขาเดินทางเข้าเมืองมาทางไหนบ้าง ดูให้มากที่สุด เพื่อจะเก็บมาเป็นไอเดียในการขับเคลื่อนตัวเอง    

 

 

ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวของ ก๊อต จิรายุ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก จะทราบว่าคุณมักจะทำคลิปสื่อสารกับแฟนคลับอยู่บ่อยๆ เป็นคลิปแนะนำวิธีพัฒนาตัวเองบ้าง คลิปการออกกำลังกายบ้าง ล่าสุดเพิ่งเห็นคลิปสั้นๆ ในอินสตาแกรม เหมือนคุณกำลังฝึกสื่อสารทางสายตา คลิปเหล่านี้คุณทำไปเพื่ออะไร และมองเห็นประโยชน์อะไรจากมันบ้าง

อ้อ ที่โพสต์ไอจีเป็นการฝึกสายตาครับ แต่นั่นเป็นเทคนิคเก่าแล้วนะ เป็นเทคนิคที่ อัล ปาชิโน (The Godfather, Serpico,Heat , Donnie Brasco, The Insider) ชอบใช้ คือเขาจะไม่กะพริบตาเลย ปกติเวลาที่คนเราคุยกัน น้อยคนที่จะมองตา ผมยกตัวอย่างตอนนี้เราคุยกัน ผมพยายามจะสื่อสาร อยากจะเชื่อมโยงความคิด ความรู้สึกบางอย่าง และผมพูดโดยที่ไม่กะพริบตาเลย โมเมนต์แค่ไม่กี่วินาที ผมเชื่อว่าสื่อสารกันได้แล้ว เขาเรียกว่าไม่ได้ใช้ปากพูด แต่ใช้ตา ซึ่งตามันสามารถสื่อสารได้ทั้งตัว ผมอาจจะมีกำแพงของผม คุณมีกำแพงของคุณ แต่เราจะผสมผสาน เชื่อมโยงถึงกันได้ผ่านการสื่อสารด้วยสายตา

 

จริงๆ ผมทำคลิปมาสามสี่ปีแล้ว ที่ทำเพราะคิดว่าพอเราพัฒนาตัวเองได้แล้ว เจอแล้วว่าไอ้วิธีคิดแบบนี้มันช่วยพัฒนาเราให้ดีขึ้น อีกหนึ่งความสุขของมนุษย์คือการให้ แค่นั้นเอง ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมปล่อยออกไปมันจะมีประโยชน์ต่อใครบ้าง แต่ผมเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้มันเคยเปลี่ยนผมมาแล้ว วันหนึ่งถ้าคนอื่นๆ นำไอเดียตรงนี้ไปปรับใช้ เขาก็จะได้ประโยชน์ในแบบที่เหมาะกับตัวเขาเอง

 

ปกติเวลาผมอยากทำคลิป ผมจะลิสต์คร่าวๆ ไว้หนึ่งวันว่าอยากคุย อยากบอกเรื่องอะไร โดยมีมาตรฐานว่า เรื่องนี้จะเกิดประโยชน์กับคนในเพจ ข้อมูลเหล่านี้ที่ผมทำ ถ้าเปรียบเป็นอาหาร มันก็เหมือนของชิมฟรีที่อยู่ในห้าง ได้แค่อร่อย แต่ชิมเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่ม แต่ถ้าอยากอิ่ม ต้องอ่านหนังสือเต็มๆ เล่ม  

 

ยกตัวอย่างอีกคลิปหนึ่งที่แนะนำ 7 เทคนิคที่ทำให้มีการพัฒนาทุกอาทิตย์ ผมก็สรุปออกมา 7 เรื่องเพื่อให้เหมาะกับคนยุคนี้ที่เขาไม่ต้องการดูอะไรนานๆ ดูแค่คลิปสั้นๆ แต่สามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้เลย

 

 

โดยส่วนใหญ่แล้วคนเราจะดำเนินชีวิตชนิดที่เรียกว่าอัตโนมัติ ทุกวันนี้เราแทบจะไม่รู้เลยว่าเรากินอะไรเข้าไปบ้าง จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสารอาหารในข้าวหรือสิ่งที่เรากินประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และมันให้ประโยชน์กับร่างกายยังไง ส่วนใหญ่กินแล้วคือจบ เราถูกสอนมาให้พิจารณาทุกอย่างฉาบฉวยและไวเกินไป แต่ผมเป็นคนที่ได้ความละเอียดลออมาจากคุณแม่ และได้ความมุ่งมั่นมาจากพ่อ บวกกับพื้นฐานของผมที่เป็นคนใฝ่รู้ พอนำสามสิ่งนี้มาประกอบกันเลยออกมาเป็น ก๊อต จิรายุ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนไม่มีที่ตินะครับ ผมเองยังมีข้อเสียอีกมากมายที่จะต้องปรับปรุงตัวเองให้ได้ เพราะผมมองว่าความสำเร็จเป็นเรื่องของการปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่การไปยึดติดอยู่กับอดีต

 

ผมเป็นคนแบ่งชีวิตไว้หลายแบบ ชีวิตด้านงานคือการทำงานของผมเป็นงานด้านศิลปะ เพราะการแสดงถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง อีกส่วนคืองานศิลปะด้านการวาดภาพแอ็บสแตรกต์ และสุดท้ายคืองานเขียน (ก๊อตเคยเขียนหนังสือด้านการพัฒนาตัวเองออกมาสองเล่มในชื่อ ก่อร่าง สร้างกาย Body Shaping โดยสำนักพิมพ์บอลลูน) เป็นงานศิลปะ 3 อย่างที่ผมจะมุ่งมั่นทำ เพราะทำมันแล้วผมมีความสุข

 

 

คุณเชื่อไหมว่า “ดอกไม้ในชีวิตของคนเราบานไม่พร้อมกัน”

ผมเชื่อครับ แล้วบางดอกก็ไม่บานเลยนะ เพราะไปอยู่ในที่ที่ไม่เวิร์ก ผมว่าการที่เรามุ่งมั่นที่จะเป็นคนเก่งอย่างเดียวก็ไม่พอ เราต้องพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่จะฉายแสงในตัวเราด้วยเหมือนกัน โชคดีที่ผมได้เป็นนักแสดงที่ช่อง 3 ผมได้เจอกับพี่นก-ฉัตรชัย เปล่งพานิช (นักแสดง ผู้กำกับ และผู้จัดละคร บริษัท เมตตาและมหานิยม) ได้เจอกับพี่หน่อง-อรุโณชา ภาณุพันธุ์ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น บริษัทผู้ผลิตละครบุพเพสันนิวาส) ได้มาเจอกับ ปิ่น-ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์ (ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท ทีวีซีน แอนด์ พิคเจอร์ จำกัด) ทุกคนช่วยกันดึง ช่วยกันผลักดันให้ผมปล่อยของด้านการแสดงออกมา ทุกคนเป็นบุคคลที่มีพระคุณกับผมอย่างมาก ถ้าไม่มีเขา ผมก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ และคงไม่มีใครมาสัมภาษณ์ผม (หัวเราะ)

 

เคล็ดลับไม่ยากหรอกครับ เริ่มจากวิธีคิดก่อน คือรักร่างกายตัวเองให้มากๆ มองว่าร่างกายเป็นอุปกรณ์ในการดำเนินชีวิตที่เราจะต้องใช้มันไปตลอด เพราะเวลาที่เรารักร่างกายหรือรักสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะอยากดูแลสิ่งนั้นโดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระ เหมือนคนรักรถ การเช็ดรถของเขาก็ไม่รู้สึกว่าต้องฝืนทน

 

ในบรรดาฝันที่ตั้งเป้าหมายไว้ มีความฝันที่อยากจะเป็นพระเอกบ้างไหม

ผมว่าที่ยังไม่ได้เป็น เพราะว่ามันมีเหตุปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ยังไม่ได้เป็น แต่ถามว่าความคาดหวังมีไหม เราทุกคนก็มีความคาดหวังที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ แต่ถามว่าผมเป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่ได้รับไหม ผมไม่ได้เป็นทุกข์ เพราะนั่นคือสายตาของความขาดแคลน

 

พอโตขึ้น เราก็พัฒนาสายตาในการมองโลก ผมยกตัวอย่าง ถ้าบนโต๊ะมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว คนที่มีสายตาขาดแคลนอยู่เสมอก็จะมองว่ามีน้ำอยู่แค่นี้เองหรอ พอคิดลบ ทุกอย่างก็จะถูกส่งออกไปแบบลบๆ ซึ่งผมพยายามที่จะไม่เป็นคนแบบนั้น ผมมองว่าน้ำแก้วเดียวกันมีน้ำอยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว น้ำครึ่งแก้วในวันที่ไม่มีน้ำกินนี่โคตรมีค่าเลยนะครับ เพราะผมเป็นคนมองโลกแบบนี้มั้ง เลยทำให้ไม่ว่าจะได้รับบทบาทแบบไหน ผมก็มีความสุข ผมเอ็นจอยเพราะเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี

 

 

นอกจากการแสดง อีกมุมที่คนจำคุณได้ คือร่างกายเฟิร์มๆ หุ่นดี มีซิกซ์แพ็ก แสดงว่าคุณน่าจะเป็นคนเอ็นจอยกับการดูแลตัวเอง

คือผมไม่ได้อยากมีชื่อเสียงในเรื่องที่ทำให้คนพูดถึง ‘ก๊อตซิกซ์แพ็ก’ นะ แต่ผมอยากมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นนักแสดงที่มีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าแบบนั้นผมจะภูมิใจมากกว่า (ยิ้ม) เพราะหุ่นดี ความจริงแล้วถ้าทุกคนตั้งใจจริงๆ ปีหนึ่งก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลย ความยากเกิดจากความไม่เข้าใจ ซึ่งความไม่เข้าใจสามารถจะเรียนรู้ได้ แต่ถ้าไม่ใช้เวลาเพื่อเรียนรู้แล้วมองข้าม ความยากก็จะเกิดขึ้น

 

บอกเคล็ดลับหุ่นเฟิร์มให้หน่อยสิครับ

จริงๆ เคล็ดลับไม่ยากหรอกครับ เริ่มจากวิธีคิดก่อน คือรักร่างกายตัวเองให้มากๆ   มองว่าร่างกายเป็นอุปกรณ์ในการดำเนินชีวิตที่เราจะต้องใช้มันไปตลอด เพราะเวลาที่เรารักร่างกายหรือรักสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะอยากดูแลสิ่งนั้นโดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระ เหมือนคนรักรถ การเช็ดรถของเขาก็ไม่รู้สึกว่าต้องฝืนทน แต่เขารู้สึกสนุก รู้สึกดีที่จะได้เห็นรถตัวเองเงาเหมือนใหม่ตลอดเวลา

 

ผมเองก็เช่นกัน ผมรู้สึกว่าถ้าหุ่นดี ผมก็มีความมั่นใจ กลับมาที่เรื่องวิธีคิด พอเรามีวิธีคิดแบบนี้ เดี๋ยวความใฝ่รู้มันจะเพิ่มขึ้นมาเอง จากนั้นพยายามหาทางของตัวเองให้เจอ อย่างการออกกำลัง ดูแลร่างกาย ผมเป็นคนไม่ใช้ลู่วิ่ง ไม่ได้ใช้เครื่องปั่นจักรยาน แต่ผมใช้การว่ายน้ำ การชกมวยไทยในการออกกำลังกาย เพื่อให้ตัวเองเหงื่อออก พอเจอทางที่ชอบเราจะรู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก

 

ผมเชื่อแบบเต็มหัวใจเลยนะว่าทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัว เราต่างก็มีแขน มีขา เดินได้ สามารถหยิบจับสิ่งของได้ แต่ทำไมคุณภาพชีวิตของคนเราต่างกัน เพราะเราไม่ได้ใช้สิ่งที่มีอยู่ ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เราแค่ใช้สิ่งที่เรามีอยู่ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ

 

ตอนนี้อะไรบ้างครับที่คุณมองว่าตัวเองยังไม่สมบูรณ์แบบ รู้สึกว่ายังต้องพัฒนาอีก

ไม่หรอกครับ ผมว่าคนเราไม่มีวันสมบูรณ์ เราต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แต่การพัฒนามันก็ต้องตั้งอยู่ในกรอบด้วยว่าเราพัฒนาไปเพื่อสิ่งใด อย่างผมเอง ผมอยากพัฒนาเพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ ผมก็อยากทำให้งานของผมมีคุณค่า ในขณะเดียวกันพอเราใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพแล้ว การจะพัฒนาตัวเองของเราก็มีจุดประสงค์ที่ใหญ่ไปกว่านั้น คือส่งมอบเรื่องพวกนี้ให้กับผู้อื่นด้วย

 

ผมมีหน้าที่หลักในการเป็นลูก ผมอยากตอบแทนพ่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้ ผมอยากใช้ช่วงเวลาทุกวันอยู่กับเขาอย่างมีความสุข ผมอยากไปเที่ยวกับเขา อยากกอดเขา เพราะผมรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะจากไป

 

 

จากคนที่เคยอ่านหนังสือ How To มามากมาย ถ้าเดือนหน้าต้องเขียนหนังสือ How To อีกสักเล่ม เรื่องอะไรที่คุณสนใจจะบอกต่อกับคนอื่นมากที่สุด

ผมจะใช้คำว่า “ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าโดยใช้สิ่งที่มีอยู่” ผมเชื่อแบบเต็มหัวใจเลยนะว่าทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัว เราต่างก็มีแขน มีขา เดินได้ สามารถหยิบจับสิ่งของได้ แต่ทำไมคุณภาพชีวิตของคนเราต่างกัน เพราะเราไม่ได้ใช้สิ่งที่มีอยู่ ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เราแค่ใช้สิ่งที่เรามีอยู่ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ

 

ฟังจากที่คุยกันมา คุณเป็น Life Coach ได้เลยนะ

ไม่อยากเป็นเลย (ยิ้ม) คือผมไม่ได้อยากจะเป็นครูสอนคน เพราะผมรู้ว่าผมไม่สามารถสอนใครได้ แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ บอกให้เขาสอนตัวเขาเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า เพราะถ้าผมวางข้อความไว้ส่วนหนึ่ง จากนั้นคนที่ต้องการจะพัฒนาเขาเข้ามาอ่านเอง คัดกรองเอง แล้วนำไปปรับใช้เอง สิ่งนี้ต่างหากที่มันมีค่าสำหรับผม

FYI
  • ก๊อต จิรายุ มี พอล นิวแมน (Paul Newman) นักแสดงฮอลลีวูดระดับตำนาน เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องการดูแลรูปร่างของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า “พอล นิวแมน เป็นผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้ตัวใหญ่มาก แต่ใส่เสื้อผ้าสวย พอล นิวแมน  สำหรับผมเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ไม่ว่าจะเป็นแอ็กติ้งการแสดง หรือแม้แต่การให้สัมภาษณ์ ที่สำคัญ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำสูง
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising