อาหารแต่ละจานที่ร้านอาหารอินเดียแห่งนี้เกิดจากการนำอาหารพื้นบ้านของเมืองอูดุปปี เมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ที่เป็นเมืองบ้านเกิดของเชฟฮาริ นายัค เชฟชื่อดังระดับโลกที่เป็นผู้สร้างสรรค์เมนูให้กับร้าน นำเมนูพื้นบ้านมาตีความใหม่ นำเสนอให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงรสชาติต้นตำรับไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าถามว่าอาหารอินเดียเหนือและอินเดียใต้แตกต่างกันอย่างไร อาหารอินเดียเหนือนั้นจะมีความหนา หนัก และข้น อย่างแกงเนยไก่จิ้มกับนานที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ ในร้านอาหารอินเดีย แต่อาหารอินเดียใต้นั้นจะมีความเบาบางกว่าและมีความเผ็ดร้อน ด้วยความที่เครื่องปรุงและวัตถุดิบต่างๆ ของอินเดียตอนใต้นั้นมีความใกล้เคียงกับของไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว กะทิ หอมแดง เสาวรส สับปะรด มะขาม และมะพร้าว เพราะชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียนั้นเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวที่สำคัญที่สุดในประเทศ หลายเมนูจึงออกมาคล้ายๆ กับอาหารไทย ทำให้เข้าถึงคนไทยยุคใหม่ได้ง่ายขึ้นไปอีก แม้ว่าคุณจะไม่เคยกินอาหารอินเดียมาก่อน คุณก็สามารถสนุกไปกับการนำเสนอและรสชาติของอาหารอินเดียแถบชายฝั่งทะเลตอนใต้แต่ละจานได้อย่างแน่นอน
The Vibe
เมื่อเดินผ่านประตูร้านอาหารอินเดียสุขุมวิทแห่งนี้เข้ามา เราจะรู้สึกได้ถึงความสงบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่น่าจะมีอายุกว่าร้อยปี เสียงเพลงคลอเบาๆ และกลิ่นสมุนไพรหอมๆ ทำให้เรารู้สึกราวกับว่าแยกอโศกที่อยู่ห่างจากร้านไปเพียง 500 เมตรไม่ได้มีอยู่จริง เรากำลังก้าวเข้ามาในลูกโลกที่กำลังจะหมุนพาเราไปรู้จักกับประเทศอินเดียแถบชายฝั่งทะเลตอนใต้ ด้านในร้านจะมีแผนที่ประเทศอินเดียที่ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าอินเดียนั้นแบ่งภูมิภาคกันแบบไหน และอินเดียตอนใต้มีเมืองอะไรอยู่บ้าง
The Drinks
เมนูค็อกเทลของร้านอาหารอินเดียแห่งนี้มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอินเดียและภูมิปัญญาไทยได้อย่างลงตัว เพราะเริ่มด้วยค็อกเทลสนุกๆ อย่าง Mekhong Whiskey (380 บาท) ที่ใช้ส่วนผสมหลักเป็นวิสกี้แช่กล้วย น้ำเชื่อมใบเตย น้ำมะพร้าวสด และไซเดอร์มะพร้าว เสิร์ฟบนชามที่เต็มไปด้วยหญ้าและดอกไม้ พร้อมขนมจากเผาไฟหอมๆ เมื่อกินขนมจากเข้าไปก่อน แล้วจิบค็อกเทลแก้วนี้ จะได้สัมผัสที่แตกต่างออกไปจากการจิบแบบเดี่ยวๆ เพราะความมันจากขนมจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับค็อกเทลได้ดีทีเดียว
Mekhong Whiskey (380 บาท)
ม็อกเทลที่ฟูฟ่องไปด้วยโฟมและเหน็บดอกจำปาแก้วนี้มีชื่อว่า Gandhari (180 บาท) ชื่อนี้ได้มาจากตัวละครหนึ่งในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียอย่างมหาภารตะ นั่นก็คือพระนางคันธารี หรือเจ้าสาวผู้เสียสละนั่นเอง ม็อกเทลแก้วนี้จึงมีความหอมหวานของดอกไม้ ทั้งดอกเอลเดอร์ฟลาวเวอร์และดอกจำปา ส่วนของโฟมฟูฟ่องนั้นทำมาจากลิ้นจี่และดอกจำปา เป็นกิมมิกสนุกๆ เวลายกขึ้นดื่ม เพราะโฟมจะเกาะบนจมูกของเรา และทำให้เราได้กลิ่นหอมของดอกจำปาชัดเจนขึ้น
Gandhari (180 บาท)
The Dishes
เริ่มที่อาหารเรียกน้ำย่อยคำเล็กๆ อย่าง ‘Potato Chat’ ที่นำเสนอได้อลังการด้วยจานที่อัดแน่นไปด้วยหินและน้ำแข็งแห้ง เมื่อเทน้ำลงไปแล้ว จากจานธรรมดาๆ จะกลายเป็นลำธารสายเล็กๆ ที่มีน้ำไหลเชี่ยว และมี Chat คำเล็กๆ วางอยู่บนก้อนหิน Chat เหล่านี้ทำจากมันฝรั่งทอดกรอบ ถั่ว ผักกาดหอม และชัทนีย์ที่ทำมาจากโยเกิร์ต มินต์ และมะขาม โรยด้วยเกล็ดกรุบกรอบ เป็นเมนูที่ให้หลากรสชาติ ทั้งหวาน มัน เค็ม เผ็ด และเปรี้ยว เหมาะกับการเป็นของกินเล่น คำว่า Chat ในเมนูนี้นั้นมาจากคำว่า Chatna ที่แปลว่าเลียนิ้ว คงจะมาจากการที่เราหยิบมันฝรั่งกินจนมือมันและต้องเลียให้ความมันนั้นหายไปนั่นเอง
Potato Chat
มาดูเมนูของกินเล่นที่คนรักอาหารอินเดียคุ้นเคยอย่าง Pani Puri (290 บาท) กันบ้าง ปกติแล้ว Pani Puri คือแป้งสาลีทอดกรอบ มีรูตรงกลางสำหรับใส่ไส้ที่ทำจากมันฝรั่งบด เวลากินจะต้องเทน้ำจิ้มที่ทำจากผักชีและใบสะระแหน่ลงไป และใส่ปากกินให้หมดภายในคำเดียว เป็นเมนูที่หากินได้ง่ายมาก มีตามร้านอาหารอินเดียทั่วไป และเป็นเมนูที่ชาวอินเดียคุ้นเคยกันดี เชฟได้นำมาสร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ตามตลาดอย่างอะโวคาโดและมันแกวมาใช้แทนมันฝรั่ง ส่วนน้ำจิ้มนั้นทำจากเสาวรสและพริกแทนผักชีและใบสะระแหน่ เมื่อเราเทน้ำจิ้มลงไปใน Pani Puri แล้วก็อย่ารอช้า รีบกินให้หมดภายในคำเดียว แล้วจะรู้สึกได้ถึงรสชาติหลากหลายที่ระเบิดออกมา
Pani Puri (290 บาท)
เราสามารถเห็น Ceviche ได้ทั่วไปในร้านอาหารยุโรป แต่ร้านอาหารอินเดียก็มีเมนูนี้เช่นกัน Sol Kadi Ceviche (470 บาท) Ceviche ทั่วไปจะเป็นเนื้อปลาแช่ในน้ำผลไม้เปรี้ยวๆ อย่างน้ำมะนาวหรือน้ำเลมอน แต่ Ceviche ของร้านอาหารอินเดียแห่งนี้ใช้วัตถุดิบไทยอย่างปลากะพง และแช่ด้วย Sol Kadi ที่ทำจากผล Kokum ผลไม้พื้นเมืองของอินเดียผสมกับน้ำกะทิ ผลไม้สีม่วงเข้มลักษณะคล้ายมังคุดนี้มีรสเปรี้ยวและกลิ่นหอมอ่อนๆ โดยปกติแล้ว Sol Kadi เป็นเครื่องดื่มที่ชาวอินเดียใต้นิยมมาก เมื่อนำ Sol Kadi มาใช้แทนน้ำมะนาวใน Ceviche และท็อปด้วยขิงทอดกรอบ ทำให้ Ceviche จานนี้มีรสชาติที่แตกต่างออกไป แต่ก็เข้ากันได้ดี
Sol Kadi Ceviche (470 บาท)
เราอยากให้ลอง Spicy Prawns Koliwada (470 บาท) กุ้งผัดกับพริกแดงเสิร์ฟคู่กับข้าวโยเกิร์ตและสลัด โดยที่เราจะต้องเริ่มกินจากสลัดมะเขือเทศและแตงกวาคำเล็กๆ เสิร์ฟบนข้าวเกรียบที่วางไว้บนฝาถ้วยเพื่อเพิ่มความสดชื่น ก่อนที่จะเปิดมาเจอกับกุ้งตัวโตผัดกับซอสสีแดงในถ้วย เมนูนี้ก็บอกเล่าชีวิตชาวอินเดียตอนใต้ได้เป็นอย่างดี เพราะเมนูกุ้งผัดรสจัดจ้านนี้เป็นเมนูยอดนิยมในชุมชนชาวประมง หรือที่เรียกว่า Koliwada ที่อยู่กระจายกันไปในรัฐมหาราษฏระของอินเดีย เชฟนำมาเสิร์ฟคู่กับข้าวและโยเกิร์ตเพื่อตัดความเผ็ดของกุ้ง ถึงแม้ข้าวและโยเกิร์ตจะฟังดูเข้ากันไม่ได้สำหรับคนไทย แต่สำหรับชาวอินเดียใต้แล้ว ข้าวโยเกิร์ต หรือ Curd Rice เป็นเมนูที่ขาดไม่ได้เลย
Spicy Prawns Koliwada (470 บาท)
อีกหนึ่งเมนูที่บ่งบอกความเป็นอินเดียใต้ได้เป็นอย่างดี Ghee Roast Chicken (520 บาท) ไก่อบกับพริกที่นิยมกินกันในตอนใต้ของอินเดียและ Ghee หรือเนยใสที่ได้จากการสกัดน้ำออกจากไขมันจนเหลือแต่ไขมันเนยแท้ๆ เสิร์ฟพร้อมแป้ง Dosa ที่มาในรูปแบบโคน เวลากินให้ค่อยๆ ฉีกแป้งด้วยมือและกินคู่กับไก่และชัทนีย์มะพร้าว Dosa นั้นเป็นแป้งทอดแผ่นบางๆ คล้ายกับเครป เป็นอาหารที่ชาวอินเดียใต้นิยมกินกันเป็นอาหารเช้า การที่ทางร้านเพิ่มไก่เข้าไปทำให้เราได้รู้ว่า Dosa นั้นไปกันได้ดีมากกับเนื้อสัตว์
Ghee Roast Chicken (520 บาท)
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน Mango Kulfi (290 บาท) หรือไอศกรีมแบบอินเดียที่นำนมสดที่ผ่านการเคี่ยวจนข้นมาแช่แข็งจนกลายเป็นไอศกรีม ขนมหวานดับร้อนนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โมกุลและเป็นขนมของชนชั้นสูงเท่านั้น เนื่องจากต้องใช้น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยที่เป็นของหายาก แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการทำอาหารที่ทำให้การทำ Kulfi เป็นเรื่องง่ายขึ้น Kulfi เลยเป็นของหวานที่สามารถหากินได้ทั่วไปและเป็นที่นิยมมาก Kulfi ของร้านอาหารอินเดียแห่งนี้เป็นรสมะม่วง เสิร์ฟพร้อมโฟมมะกรูดและไวต์ช็อกโกแลต เป็นเมนูปิดท้ายที่ดีมากทีเดียว
Mango Kulfi (290 บาท)
มนต์เสน่ห์ของอาหารอินเดียใต้ยังมีอีกมากมายให้เราได้ค้นพบ ถ้าคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบอาหารอินเดีย ร้านอาหารอินเดียแห่งนี้จะทำให้คุณตกหลุมรักได้ไม่ยาก ทั้งการตกแต่ง การนำเสนอ เรื่องราวของแต่ละจาน และรสชาติของอาหารมาลองสัมผัสความเป็นอินเดียใต้สักครั้ง แล้วบอกเราหน่อยว่าจานโปรดของคุณคือจานไหน
ติดตามบทความร้านอาหารที่น่าสนใจกันต่อได้ที่
- กระโดดขึ้นรถไฟแห่งความอร่อย กับเส้นทางอาหารบูรพทิศที่ Burapa Eastern Thai Cuisine & Bar
- ชิมอาหารลาวรสสนุกแบบไม่ต้องไปไกลถึงสะหวันนะเขตที่ Lao Dtom Lao (ลาวต้มลาว)
- ห้องอาหารดาวมิชลิน Nahm พร้อมเปิดครัวต้อนรับคนชอบอาหารไทยอีกครั้ง
- บุกชิมอาหารรัสเซียที่ฟู้ดแล็บลับย่านพระโขนงที่ The Moon Under Water
JHOL
Open: ทุกวัน 18.00-22.00 น.
Address: ซอยสุขุมวิท 18 คลองเตย กรุงเทพฯ
Budget: 1,000-3,000 บาท
Contact: 0 2004 7174
Website: https://www.facebook.com/JHOLbkk/
Map:
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า