×

‘เจนนิเฟอร์ คิ้ม’ รักและเซ็กซ์ที่เผ็ดมากของผู้หญิงที่ไม่ยอมตายแทนคนรัก (แต่จะทำให้เขารอด)

22.02.2019
  • LOADING...
Jennifer Kim

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • เธอเคยจดทะเบียนสมรส ถูกทำร้ายร่างกาย เคยผิดหวังในความรัก เคยหย่า เคยเกือบฆ่าตัวตาย ฯลฯ ในวันนี้ที่อายุขึ้นเลข 5 และใครๆ ก็เรียกเธอว่า ‘เจ๊’ เธอผ่านเรื่องเหล่านั้นและยังหัวเราะได้เสียงดัง สบถได้อย่างสะใจ จิกกัดได้อย่างแสบทรวง ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ว่าใครที่มีความรักหรือไม่มีความรัก มีเซ็กซ์หรือไม่มีเซ็กซ์ ถ้าได้สำรวจความคิดของเธอไปพร้อมกัน คุณอาจจะพบว่าภายใต้บทสัมภาษณ์ที่เผ็ดร้อนนี้มีความอบอุ่นหัวใจจากผู้หญิงที่เข้าใจชีวิตอยู่
  • “ถ้าเก่งจริง มีคนฟัง 10 คนก็ต้องทำให้ 10 คนนั้นสนุกกว่าการอยู่กับคนเป็นร้อยเป็นพันให้ได้ ถ้าเราเป็นมืออาชีพจริง อะไรที่มันอยู่ข้างหน้าเราเท่าที่มี เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด ทำให้มันจบเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม”
  • “พี่ถือว่าช่วงชีวิตที่เราตกหลุมรักใครเป็นความติงต๊องปัญญาอ่อนที่สนุกที่สุด แล้วหลังจากนั้นมันก็จะค่อยๆ หายไป กลายเป็นความธรรมดา ธรรมชาติ และคนสองคนจะอยู่กันได้ด้วยการยอมรับธรรมชาติของแต่ละคนได้”
  • “พี่ไม่ต้องการนิพพาน พี่ไม่ต้องการพบทางสงบ ชาติหน้ากูจะเกิดมาแย่งชิงกับเขาอีก มันสนุกมาก มันจะโง่บ้าง ฉลาดบ้าง กูจะเป็นอย่างนี้ มันคือมนุษย์”

“ความรักนี่รวมถึงการเสียตัวด้วยไหม” ผู้หญิงตรงหน้าถามกลับมาตรงๆ ระหว่างผมชวนเธอคุยเรื่องความรักและเซ็กซ์ -ใช่ครับ ผมชวนผู้หญิงที่เจอกันครั้งแรกคุยเรื่องความรักและเซ็กซ์

 

ถ้าจะมีใครที่คุยเรื่องความรักและเซ็กซ์ได้เผ็ดร้อน โคตรตรงแสกหน้าที่สุด คนนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงที่ชื่อ เจนนิเฟอร์ คิ้ม นักร้องระดับดิว่าที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยว Jennifer Kim Diva Chinatown (ซึ่งบัตรขายหมดเกลี้ยงในเวลารวดเร็วอีกแล้ว) และอีกมุมหนึ่ง ชีวิตของเธอในฐานะสาวโสด แซ่บ กล้าล้ม กล้าลุก กล้ารัก กล้าเปิดเผย และ…กล้าเปย์ด้วย น่าจะมีบทเรียนเรื่องความรักและเซ็กซ์ได้ดีที่สุด

 

เธอเคยจดทะเบียนสมรส ถูกทำร้ายร่างกาย เคยผิดหวังในความรัก เคยหย่า เคยเกือบฆ่าตัวตาย ฯลฯ ในวันนี้ที่เธออายุขึ้นเลข 5 และใครๆ ก็เรียกเธอว่า ‘เจ๊’ เธอผ่านเรื่องเหล่านั้นและยังหัวเราะได้เสียงดัง สบถได้อย่างสะใจ จิกกัดได้อย่างแสบทรวง ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ว่าใครที่มีความรักหรือไม่มีความรัก มีเซ็กซ์หรือไม่มีเซ็กซ์ ถ้าได้สำรวจความคิดของเธอไปพร้อมกัน คุณอาจจะพบว่าภายใต้บทสัมภาษณ์ที่เผ็ดร้อนนี้มีความอบอุ่นหัวใจจากผู้หญิงที่เข้าใจชีวิตอยู่

 

“ทำไมทุกๆ คนมองว่าเวลาแต่งงานจะต้องมีนักร้องระดับดิว่าไปร้อง ถ้าพี่แต่งงาน พี่จะจ้างวงมหาหิงค์กับวงกางเกงไปเล่น แล้วตอนตัดเค้กจะให้ หนุ่ม กะลา มาร้องเพลง เธอเป็นแฟนฉันแล้ว รู้ตัวบ้างไหม…” เจนนิเฟอร์ คิ้ม บอกกับผม เมื่อผมบอกว่าชอบเพลง ตราบใด ที่เธอร้องกับ ฟอร์ด-สบชัย ไกรยูรเสน และอยากให้มันเป็นเพลงแต่งงานของผม (ถ้าชาตินี้จะมี)

 

แต่หลังจากคุยกันจบ ผมมีทางออกสำหรับชีวิตคนโสดแล้วล่ะ อาจจะไม่มีเพลง ตราบใด ของเธอ เพราะไม่มีงานแต่งงาน แต่คงมีผมและอีกหลายคนที่หัวเราะให้กับชีวิตได้ดังๆ แบบเธอ

 

Jennifer Kim

 

คุณเป็นนักร้องที่มีคอนเสิร์ตใหญ่มาหลายครั้ง และบัตรขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็วทุกครั้ง คุณได้ร้องเพลงต่อหน้าคนเป็นพันเป็นหมื่นแล้ว ยังจำวันที่ไม่มีคนฟังคุณเลยได้ไหม

ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาปัจจุบันนี้ก็ใช่ว่ามีคนอยู่ฟังพี่ตลอดนะคะ คนจัดอีเวนต์มักจะคิดว่าการมีเจนนิเฟอร์ คิ้ม อยู่หลังสุดจะช่วยดึงคนดูได้ ดูหน้ากูสิ ดูวัยกูสิ ดูน้ำในหัวเข่ากูบ้าง นั่งรอนาน นักร้องนมยานนะคะ นึกว่าคนจะรอฟังดิฉัน ไม่ค่ะคุณ เจนนิเฟอร์ คิ้ม ยังมีมูลค่าไม่เท่ากับไอโฟนเลยค่ะ ถ้าคุณแจกไอโฟนไปเครื่องหนึ่ง เครื่องเดียวคนก็ยังอยู่ แต่พอแจกแล้วคนก็กลับ พี่เคยเจอคนฟังเหลืออยู่ 10 คน รู้ไหมพี่ทำยังไง ดิฉันเปิดบาร์รำวงเลยค่ะ เถิดเทิงสุดฤทธิ์

 

นักร้องที่ผ่านการขึ้นลงของชื่อเสียงมาแล้วจะเข้าใจจุดนี้ มันจะมีโมเมนต์ที่ขึ้นไปแล้วใจแป้ว เพราะคนน้อย มีคนฟังอยู่ไม่กี่คน ใจมันแป้ว แต่คุณดูนะ นักร้องที่เป็นมืออาชีพคือนักร้องที่ทำตามโจทย์จริงๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองตามโจทย์ได้ โจทย์มีอยู่ 10 คน ทำยังไงก็ได้ให้อีแก่ 10 คนนี้สนุกที่สุดเลย มันจะเป็นความสะใจของพี่ว่า ไม่เป็นไร กี่คนฉันก็เอาอยู่

 

นักร้องต้องเป็นผู้ใหญ่พอที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ให้กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำปัญหาทุกๆ อย่างให้กลายเป็นไม่มีปัญหาจากตัวเรา ถ้าเก่งจริง มีคนฟัง 10 คนก็ต้องทำให้ 10 คนนั้นสนุกกว่าการอยู่กับคนเป็นร้อยเป็นพันให้ได้ ถ้าเราเป็นมืออาชีพจริง อะไรที่มันอยู่ข้างหน้าเราเท่าที่มี เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด ทำให้มันจบเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม ไม่ใช่ว่าเครื่องเสียงไม่ดีก็ไม่ร้อง คนดูน้อยฉันก็ไม่ร้องแล้ว

 

Jennifer Kim

การมองเห็นคุณค่าของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ใครมองไม่เห็นเราก็ช่าง เราต้องมองให้เห็นเพื่อที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเอาสิ่งนี้ออกไปเป็นจุดยึดเหนี่ยวเพื่อให้เราได้ทำงาน ได้ฝ่าฟันชีวิตต่อไป

อะไรทำให้คุณคิดได้ว่าต่อให้มีคนดูแค่ 10 คนก็จะร้อง

พี่เคยอยู่ในจุดที่ลูกค้านั่งอยู่เต็มร้าน แต่ไม่สนใจพี่ เพราะมัวแต่ล้วงควัก สำรวจอนาโตมีของเด็กนั่งดริงก์อยู่ พี่ก็เห็นมาแล้ว จริงๆ ไม่ต้องจ้างกูมาร้องก็ได้ เปิดเพลงไปเลยเถอะ ตู้เพลงในร้านลาบเป็ดยังมีคนให้ความสนใจมากกว่า พี่เคยไปจนถึงจุดที่ไม่มีแขกเลย แต่ทุกครั้งตอนที่ไม่มีแขก พี่จะนึกในใจว่าดีเหมือนกัน จะได้ฝึกเพลงที่อยากร้องแต่ยังร้องไม่คล่อง เราก็ฝึกสิ่งเหล่านั้น

 

พี่ว่านักร้องส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จตอนนี้มาจากการไม่หยุดพยายาม ไม่หยุดที่จะไขว่คว้า ไม่หยุดที่จะฝึกฝน ไม่ว่าจะช่วงมีงานหรือไม่มีงานก็ไม่หยุดร้อง แล้วคิดให้มันเป็นบวกไว้ก่อนว่าอย่างน้อยที่สุดก็ได้สตางค์ค่าจ้าง คนจะดูหรือไม่ดูเราก็มาทำงานของเราให้เต็มที่ ให้สมกับค่าจ้างที่เขาจ่าย หรือเหลือแค่คนสองคนก็ให้สมกับที่เขาอุตส่าห์นั่งรอดูเรา ต้องคิดให้ได้อย่างนี้

 

คุณอยู่ในอาชีพที่รูปร่างหน้าตามีความสำคัญมาก มีวิธีคิดอย่างไรในการฝ่าฟันอุปสรรคที่มาจากการถูกปิดโอกาสเพียงเพราะเปลือกนอกของคุณ

พี่ดันไปเกิดในยุคที่โลกของนักร้องไม่เปิดกว้างเท่าทุกวันนี้ แล้วก็เป็นช่วงของการที่นักร้องต้องเป็นพิมพ์นิยม ต้องสวย หุ่นดี ร้องเพลงกลางๆ พอไหว แค่นั้นโอเคแล้ว ถ้านักร้องหลายๆ คนที่เกิดในยุคนี้มาเกิดในยุคพี่จะต้องตายห่าไปแล้ว เช่น อีโอ๊ต ปราโมทย์ หรืออีป๊อบ ปองกูล มันจะไม่ได้ร้องเพลงหรอก มันต้องไปยืนรับรถอยู่หน้าร้าน ซึ่งสองตัวนี้มันจะได้ทิปมากกว่าคนอื่น เพราะมันปากดี แต่การเป็นนักร้องในปัจจุบันมันง่ายกว่า เพราะทุกคนเปิดใจมากขึ้น แต่กระนั้นเองดิฉันก็ไม่เห็นจะมีสาวๆ แห่กรูกันไปตามอีโอ๊ตกับอีป๊อบเท่านักร้องที่หล่อกว่าแต่ร้องเพลงได้ไม่ดี คนหน้าตาดีก็ชนะอยู่ดี

 

ถ้าจะให้พี่คิดว่าแล้วเราจะสู้ไปทำไมวะ ในเมื่อยังไงเขาก็ไม่มองทะลุเข้ามาเห็นถึงความสามารถเรา เขาฝ่าหนังหน้าเราไปไม่ได้หรอก ถ้าพี่คิดอย่างนี้จริงๆ นะ พี่จะแพ้ตั้งแต่ทุกวันที่พี่ส่องกระจกแปรงฟันแล้ว ถ้ามึงคิดอย่างนั้นแล้วจะหาแดกยังไง

 

เวลาคนมาด่าเรา ต้องถามอีคนพูดก่อนว่ามึงรักกูใช่ไหม มึงให้อะไรกู กูจะรวยขึ้นใช่ไหม ถ้ามึงพูดอย่างนี้ชีวิตกูจะดีขึ้น เจริญขึ้นใช่ไหม เขาไม่ได้ติ แต่เขาด่า เขาไม่ได้ให้โอกาส แต่เขาปิดโอกาส การมองเห็นคุณค่าของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ใครมองไม่เห็นเราก็ช่าง เราต้องมองให้เห็นเพื่อที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเอาสิ่งนี้ออกไปเป็นจุดยึดเหนี่ยวเพื่อให้เราได้ทำงาน ได้ฝ่าฟันชีวิตต่อไป

 

Jennifer Kim

 

ความสวยของผู้หญิงชื่อ ‘เจนนิเฟอร์ คิ้ม’ คืออะไร

พี่ว่ามันเป็นความอารมณ์ดี ความอารมณ์ดีเป็นความสวยของทุกคนในโลกนี้เลย ลองนึกถึงผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อมาก แต่นิ่งเป็นสากกะเบือ พูดจามาแต่ละคำเหมือนกระโดดถีบเราอยู่ตลอดเวลา มันก็ดูไม่ดี ความอารมณ์ดีมันเป็นเสน่ห์ของมนุษย์นะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีคนอย่างโอ๊ต ปราโมทย์ ลองคิดดู มันหล่อเหรอ มันต้องสูงกว่านี้สัก 20 เซนติเมตร แต่มันเป็นผู้ชายน่ารัก คารมเป็นต่อ อยู่ด้วยแล้วอารมณ์ดี คนที่อารมณ์ดี ใครจะไม่รักก็ช่าง แต่เพื่อนรัก ยังไงมันก็ไม่ถูกทิ้ง ยังไงมันก็ไม่เดียวดาย เพราะมันเป็นความสุขให้คนอื่น

 

มีคำแนะนำอะไรอยากบอกกับคนที่คิดว่าตัวเองไม่สวยอยู่ตลอดเวลาไหม

ไปเกาหลีค่ะ คือทุกวันนี้ต้องหน้าเหมือนที่หมอสั่ง หน้าเหมือนที่หมอปั้นมา ไม่ใช่พ่อแม่ปั้นมา มันต้องยอมรับความจริง เราไม่สวยก็คือไม่สวย หน้าเหมือนหมู กินก็เหมือนหมู ตัวจะเป็นหมูอยู่แล้ว แล้วมาบอกว่ากูไม่อ้วน! อันนี้ก็แล้วแต่เลย ถ้าเรายอมรับความจริง เราจะเห็นปัญหาทุกเรื่องในชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตานะ มันต้องยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองในทุกเรื่องแบบไม่เข้าข้างตัวเอง มันต้องมองให้เห็นปัญหาก่อน ยอมรับปัญหา มองให้ทะลุถึงข้อเท็จจริง เห็นแก่นของมัน เสร็จแล้วคุณจะแก้ปัญหาได้ตรงจุด

 

เรายังอยู่ในโลกของความจริง เราอย่าไปพูดว่าเราสวยที่ใจ ใครจะเห็น ไอ้นี่ต้องเห็นกายทิพย์ ต้องมองผ่านกายหยาบกูได้เนี่ย บ้าเหรอ เขาไม่ได้เลือกคนที่ดี เขาเลือกคนที่ใช่ แล้วอย่ามานั่งคิดว่าเขาจะรักเราที่ความดี ไม่ต้อง ถ้าเขาชอบ เขาเอามึงตั้งแต่ทีแรกแล้ว ถ้าเขาไม่ชอบ จะทำความดีแค่ไหนเขาก็ไม่เอาหรอก

 

เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร…

เวลาเรารักใคร เราเลือกกันที่คนคนนี้ใช่ ใช่คืออยู่ด้วยแล้วมีความสุขทั้งคู่ ไม่ใช่สุขอยู่ฝ่ายเดียว อยู่แล้วสบายใจ เคมีมันได้ เรื่องความดีมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ว่าชอบเพราะเธอเป็นคนดี ถ้าชอบคนดี เธอไปแต่งงานกับแม่ชีเลยสิ แต่เลือกเพราะคนนี้ใช่ว่ะ

 

คำว่าใช่ของแต่ละคนมันแตกต่างกัน คนเราชอบอะไรไม่เหมือนกันอยู่แล้ว จุดน่ารักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พี่แอม-เสาวลักษณ์ ลีละบุตร พูดว่าผู้หญิงเหมือนดอกไม้ ดอกไม้สวยทุกดอก ต่อให้เป็นดอกหน้าวัว ดอกอุตพิด ดอกบ้าบอคอแตกอะไรมันก็สวยทุกดอก เพราะคนคนหนึ่งชอบดอกไม้ไม่เหมือนกัน เคยไหม คนบางคนทำไมชอบหม้อข้าวหม้อแกงลิง หน้ามึงก็เหมือน การแดกมึงก็เหมือน แล้วมึงก็ล่อเหยื่อเก่งนะ เออ ทำไมถึงรัก เพราะเขาไปเจอความน่ารักของยัยหม้อข้าวหม้อแกงลิง อยู่ด้วยแล้วมีความสุข อ้วนๆ เตี้ยๆ ก็ยังมีคนชอบได้ หาข้อดีของตัวเองให้เจอ

 

Jennifer Kim

 

ผู้หญิงแกร่งอย่างคุณ เวลามีความรักเป็นแบบไหน

ตอนมีความรักจะย้วยมาก อย่าบอกว่าแกร่ง ตอนมีความรักเนี่ย ค่าเงินของพี่แข็งตัวมาก สเตทเมนต์พี่แข็งแรงวิ่งฉิว กระแสของพี่นี่ต่อเนื่องกันเลย กระแสถอนออกและกระแสโอนของพี่ต่อเนื่องมาก (หัวเราะ) บางครั้งถึงขั้นต้องโอนผ่านอินเทอร์เน็ตไปให้ใช้ด้วย

 

คนเรามันจะมีข้อแลกเปลี่ยนไม่เหมือนกัน มึงสวยนี่ มึงก็เอาร่างกายมึงแลกสิ กูต้องใช้สตางค์แลก มันก็ต้องเข้าใจ พอเราเข้าใจ ทุกๆ เรื่องมันจะกลายเป็นเรื่องขำไปหมด เวลาเพื่อนบอกว่ามันหลอกมึง เจ็บตรงที่มึงบอกกูนี่แหละ กูรู้ตั้งนานแล้ว ไม่ต้องตอกย้ำ (หัวเราะ) ดูวัยพี่สิ ใครเขาจะมาเอาวะ คนแก่กว่านี้ก็เป็นเจ้าสัว เขาก็ชอบเด็กๆ สวยๆ แล้วรุ่นพี่จะไปลอยกระทงกับใคร ไม่ได้ใส่เหรียญบาทลงไปในกระทงแล้วเก็บไว้อมตอนตาย

 

ผมเพิ่งคุยกับเพื่อนว่าบางคนเวลาปกติก็ดีๆ อยู่ แต่พอมีความรักแล้วกลายเป็นคนไม่น่ารัก ไม่เหลือความเป็นตัวเองอยู่เลย

พี่ก็เป็นนะ สังเกตไหมว่าเป็นช่วงโปรโมชันจริงๆ ที่เราจะเอ๊าะแอ๊ะกระเด๊าะกระแด๊ะกันอยู่ตลอด กินอะไรอะ มีอะไรอะ เหงาอะ หิวอะ อีดอก! หิวก็ไปหาแดกสิ (หัวเราะ) แต่มันเป็นช่วงเวลาที่สนุก พี่ถือว่าช่วงชีวิตที่เราตกหลุมรักใครเป็นความติงต๊องปัญญาอ่อนที่สนุกที่สุด แล้วหลังจากนั้นมันก็จะค่อยๆ หายไป กลายเป็นความธรรมดา ธรรมชาติ และคนสองคนจะอยู่กันได้ด้วยการยอมรับธรรมชาติของแต่ละคนได้ การเอ๊าะแอ๊ะกระเด๊าะกระแด๊ะตอนเราตกหลุมรักใคร มันไม่มีความโง่หรอก คุณทำไปเถอะ มันทำตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เราคงไม่ทำเอ๊าะแอ๊ะอยู่ตลอดความสัมพันธ์หรอก อีกอย่างคือเวลาที่เราอยากให้เขาเป็นของเรา คุณจะได้ใช้ศาสตร์และศิลป์ของทุกๆ แขนงวิชาที่มีอยู่ในตัวคุณทั้งหมด พี่ว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่สนุกดีนะ

 

ในฐานะที่เป็นคนโสดมานาน คุณมีอะไรอยากบอกคนที่ชอบบ่นในโซเชียลมีเดียว่าโสดแล้วเหงา อยากมีแฟน

ซื้อสิคะ ซื้อเอา จ่ายสตางค์ รู้เรื่อง คุณอยากได้แบบไหนล่ะคะ ถ้าไม่ซื้อก็จงบ่นต่อไปค่ะ ตามสบาย

 

คนเราชอบมีข้อแม้ว่าจะต้องเอาคนนี้มาเป็นแฟน เดี๋ยวก่อน ลองมีอะไรกันก่อน เพราะถ้าเราคบกันก่อน จ้างให้ก็ไม่มีทางรู้ ชิมก่อนสิคะ อย่าวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั่น กินไม่ได้ก็คาย ถ้าใช่ก็คบเป็นจริงเป็นจังกันไป แต่ถ้ามีอะไรปุ๊บ สถานภาพเอย ความรู้สึกต่างๆ มันเปลี่ยนทันทีนะ คนเรามันจะต้องขนาดไหนเหรอถึงจะถอดเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ กันได้ ถึงต้องมีอะไรกันก่อนเพื่อรู้ว่าคนนี้ใช่หรือไม่ใช่อย่างไร กินได้แต่ต้องคิดให้ดีๆ และคุณต้องชัวร์นะว่าไม่มีของแถม

 

เราอ่านคนจากเซ็กซ์ได้อย่างไรบ้างครับ

เซ็กซ์คือสันดานดิบของเราอย่างหนึ่ง เป็นพฤติกรรมของมนุษย์แบบที่เพียวๆ มากเลย บางคนดูเรียบร้อยเชียว แต่มีเซ็กซ์ที่หื่นกระหาย บางคนบนเตียงมีเสียงครางประหลาดๆ หรือชอบให้เรียกป๋าจ๊ะ ป๋าจ๋า ถ้าในแง่ของนักจิตวิทยา เราจะมองเห็นภาพสะท้อนอดีตของเขาได้เลยนะ คุณจะเห็นถึงการเลี้ยงดูเลยว่าเขาโตมาแบบไหน พฤติกรรมหลายๆ อย่างที่มันลึกซึ้ง เราจะเห็นบนเตียง บนที่นอน ความห่างเหินเราก็จะเห็นบนที่นอน คนที่รักกันแล้วไม่คุยกันเขาจะหันหลังทันที หรือนิ่งๆ เคยกอดก็ไม่กอด

 

พี่เคยเจอผู้หญิงบางคนที่หลงรักผู้ชายคนหนึ่งมากๆ ซึ่งดูภายนอกเหมือนเขาไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่บนเตียง ผู้ชายคนนี้พอมีอะไรกันเสร็จจะนอนกอดผู้หญิงคนนั้นอยู่นานแล้วเรียกเมียจ๋า เมียจ๋า แต่ผู้ชายบางคน พอเสร็จปุ๊บมันหันหลังเลย ไม่สนใจผู้หญิงอีกเลย นี่ไง เซ็กซ์มันบอกเลยนะว่าคนคนนี้เป็นยังไง

 

ในเมื่อเซ็กซ์คือส่วนหนึ่งของการสำรวจตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ เราควรใช้เซ็กซ์ไปกับการสำรวจตัวตนของมนุษย์อย่างไรบ้าง

เซ็กซ์เป็นเรื่องสำคัญมากเลย พี่เป็นคนที่ต้องยอมรับเลยว่าการไม่มีคู่ทำให้พี่เป็นคนเซ็กซ์ต่ำมาก เขาบอกว่าโดยเฉลี่ยของคนเราจะมีเซ็กซ์อย่างต่ำที่สุดปีละ 50 กว่าครั้ง พี่ไม่มีเซ็กซ์มา 10 กว่าปีแล้ว แล้วช่วงที่มีแฟน พี่มีเซ็กซ์แค่ไม่ถึง 10 ครั้งต่อปี พี่ก็จะอ้างว่าปวดท้องเมนส์ ปวดโน่นปวดนี่ แต่พี่มานึกในใจนะคะว่า อ๋อ ไม่ใช่ความผิดของกูที่ไม่มีเซ็กซ์ แต่เป็นเพราะมึงไม่แซ่บ อย่ามาโทษกู!

 

ถ้าเรามีโอกาสกิน เรากินก่อนค่ะ ถ้ายังมีโอกาสก็เต็มที่นะคะ ตอนตายเราก็เอาอะไรไปไม่ได้นอกจากเหรียญ เอาผู้ชายใส่บาตรไปก็ไม่ได้ แต่คุณรู้จักป้องกันตัวเองจากโรคภัยต่างๆ คุณต้องฉลาดพอสมควรนะ เหมือนเราชอบกินส้มตำมาก แต่ร้านนี้สกปรกมาก กินทีไรขี้แตกขี้แตนก็ยังจะไปกินอีก คุณต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าจะกิน คุณต้องขึ้นไปเป็นระดับนักชิม คือกินสิ่งที่เลือกแล้วว่าดี ควรค่าแก่ลิ้นเราที่จะรับรส อย่าเป็นแค่นักกินที่กินดะไปทั่ว

 

Jennifer Kim

เราได้รู้จักตัวเองก็มาจากการที่เราได้รักใครสักคน

เราได้เรียนรู้อะไรจากการมีความรักบ้าง

ทุกครั้งที่เรารู้จักกับผู้ชายสักคนหนึ่ง จริงๆ เราไม่ได้เรียนรู้แค่เขาหรอก เรากำลังเรียนรู้ตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหน ผู้ชายคนนี้จะทำให้รู้ว่าเรามีนิสัยเสียตรงไหน แล้วนิสัยที่ดีของเราอยู่ตรงไหน จุดความอดทนของเราสุดที่ไหน ผู้ชายแต่ละคนเป็นเหมือนหน่วยวัดในแต่ละเรื่อง นึกออกไหมคะว่าเราอดทนสุดได้แค่ไหน ปรี๊ดได้มากที่สุดจากอะไร หรือโกรธมากนะ แต่พอเจอหน้าแล้วอ่อนระทวย ยอมแพ้ตั้งแต่เขายังไม่อ้าปาก อ๋อ เราเป็นคนแบบนี้ เราได้รู้จักตัวเองก็มาจากการที่เราได้รักใครสักคน ซึ่งในภาวะปกติเราอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราอาจจะไม่เคยเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นเลยก็ได้ ขณะเดียวกันการมีความรักก็หล่อหลอมตัวเราให้เป็นคนอีกแบบ มันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเติบโต ผู้ชายบางคนเข้ามาให้บทเรียนอะไรบางอย่างกับเรา หรือทำให้เราเปลี่ยนแปลงไป

 

แล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต คุณรู้จักผู้หญิงชื่อ ‘เจนนิเฟอร์ คิ้ม’ จากการมีความรักว่าเธอเป็นคนอย่างไรครับ

ความรักนี่รวมถึงการเสียตัวไหม (หัวเราะ) ต้องแยกจากกันก่อนนะ (เอารักจริงๆ ก็พอครับ – ผู้สัมภาษณ์) พี่ว่าพี่เพิ่งมารักเป็นตอนที่อายุ 40 กว่านะ แต่ว่าไม่มีใครให้รักแล้ว ก่อนหน้านั้นพี่ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความรักเลย พี่ถือมันเป็นความไม่รู้ของพี่เอง เคยทั้งเป็นฝ่ายวิ่งตามหาความรักเพราะแค่อยากมีแฟน เคยไปหลงรักคนที่มีเจ้าของ แล้วคนนั้นก็เจ้าชู้อีก บางครั้งเราสามารถที่จะมองเห็นจุดจบของเรื่องราวได้จากจุดเริ่มต้น เช่น ถ้าเราเจอผู้ชายจากร้านเหล้า เชื่อไหมว่าพอไปร้านอื่นมันก็จะเป็นทรงนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นคิดไม่ได้ ประสบการณ์ยังไม่มี และบางครั้งก็เป็นแค่ความหลงใหลและอยากครอบครองเท่านั้น

 

จากบทเรียนทั้งหมดที่มีมา พี่ค้นพบว่าเราไม่ควรที่จะรักอะไรมากไปกว่าตัวเอง รักเท่ากับตัวเองดีกว่า พี่ไม่เชื่อว่าตายแทนกันได้ พี่ไม่เชื่อเลย ถ้าผู้ชายคนหนึ่งพูดกับพี่บอกว่าฉันยอมตายแทนเธอได้ พี่ไม่เชื่อคำนี้ พี่ว่าไม่มีใครรักอะไรที่สุดเท่ากับรักตัวเอง ถ้าสิ่งนั้นจะมีก็ต่อเมื่อเป็นพ่อแม่ลูก เป็นพี่น้อง

 

ถ้ามีผู้หญิงมาบอกผู้ชายว่าฉันตายแทนคุณได้ พี่จะบอกว่าฉันจะทำให้คุณรอด อ้าว แล้วจะตายพร้อมกันทำไม อีควาย จะตายแทนมันทำไม แสดงว่าปัญหามึงตันแล้ว มึงไปไม่ได้ แต่พี่จะทำให้มันรอด จะไปตายแทนกันทำไมเวลานั้น มึงต้องหาทางรอดให้ได้ ถูกหรือเปล่า

 

Jennifer Kim

Jennifer Kim

 

ความสุขของคุณคืออะไร

พี่เป็นคนเดียวที่สามารถบอกได้เลยว่าพี่ไม่ต้องการนิพพาน พี่ไม่ต้องการพบทางสงบ ชาติหน้ากูจะเกิดมาแย่งชิงกับเขาอีก มันสนุกมาก มันจะโง่บ้าง ฉลาดบ้าง กูจะเป็นอย่างนี้ มันคือมนุษย์ พี่อยากอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง รวย เอาแค่นี้จริงๆ

 

คำถามสุดท้าย บทเรียน 3 ข้อที่คุณอยากมอบให้เพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตกับคนอื่นคืออะไร

สรุปวันนี้เราให้ข้อคิดนะคะว่าเงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่ซื้อได้เกือบทุกอย่าง ซื้อเถอะค่ะ ทุกอย่างแก้ปัญหาได้ด้วยเงินค่ะ (อันนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ – ผู้สัมภาษณ์) นี่พูดจริง เงินมันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญนะ อย่างการทำงานพี่ก็ทำเต็มที่เพื่อให้คุ้มกับเงินที่เขาจ้างพี่ทุกบาททุกสตางค์ พี่ทุ่มเททั้งประสบการณ์ที่มีอยู่ ความสามารถที่มีอยู่ แล้วสุดท้ายพี่ก็ได้เงินที่คุ้มกับความทุ่มเทที่พี่มอบให้ การดำรงชีวิตของพี่ พี่ก็ต้องมีเงินในการที่จะดำรงชีวิตในมาตรฐานที่พี่เป็น ความรักก็เหมือนกันค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังใช้เงินอยู่ค่ะ เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่ซื้อได้เกือบทุกอย่างค่ะ แล้วถ้าใครมาพูดว่าเงินซื้อความรักไม่ได้ ไม่จริง มันรวยไม่พอ

 

บทเรียนข้อที่ 2 ก็คือชีวิตมันจะง่ายถ้าเรายอมรับผิด หาความผิดที่เกิดจากตัวเองให้ได้ก่อน อย่าหาความผิดที่เกิดจากคนอื่น มองตัวเองให้ทะลุก่อน โทษตัวเองก่อน หาความจริง หาข้อเท็จจริงให้ได้ก่อน แล้วมีปัญหาตรงไหนก็ยอมรับและไปแก้ไขตรงนั้น

 

ข้อที่ 3 นะคะ อยากบอกทุกท่านเลย ถ้าเราเสือกเรื่องคนอื่นให้น้อยลง เราจะมีเวลาและมีชีวิตที่มีความสุขมากยิ่งขึ้น คนบางคนตอบได้ทุกเรื่อง แต่พอถาม มึงเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ มึงจะไปทางไหน ไม่รู้ แล้วเรื่องนี้มึงรู้หรือยัง แต่อีนี่รู้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องตัวเอง เราอย่าเป็นคนอย่างนั้น โง่ๆ ไปบ้าง ไม่รู้สักเรื่องในชีวิตก็จะมีความสุขนะ บางครั้ง 3 วัน 7 วันพี่ไม่แตะโซเชียลเลยนะ พี่อยากให้สมองมันโล่งๆ บางทีชีวิตเราที่วุ่นวายอยู่มันไม่ได้วุ่นวายจากที่เราทำเอง แต่มันมาจากเราเอาเรื่องคนอื่นมาใส่หัวตัวเองนี่แหละ

 

กินข้าวกับเผือกทุกวันไม่ไหวนะคะ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising