×

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อนและฟ้าปิด หากไร้เงาฟูจิ แล้วจะยังเหลืออะไรให้น่าสนใจ

17.08.2018
  • LOADING...
japan-summer-without-mount-fuji

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • สะพานแขวนมิชิมะ (Mishima-Skywalk) สะพานแขวนข้ามหุบเขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานแขวนให้คนข้ามที่ยาวที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความยาว 400 เมตร มีจุดประสงค์เพื่อยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองชิซึโอกะ
  • ความจริงจังของการเล่นแพดเดิลบอร์ดของคนญี่ปุ่นนั้นเข้าขั้น ‘ซีเรียส’ เพราะจากการที่เรานั่งรถผ่านหาดทุกหาดจะพบว่า มีกลุ่มคนเล่นแพดเดิลบอร์ดอยู่เยอะมาก ซ้ำยังมีการฝึกซ้อม ฝึกใช้ อย่างเป็นกิจจะลักษณะ
  • ไข่ดำที่หุบเขาโอวาคุดานิ คือไข่ต้มในน้ำกำมะถันที่เขาว่ากันว่า ทานหนึ่งฟองจะมีอายุยืนอีก 7 ปี อันเป็นกุศโลบายเพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงของร่างกายมนุษย์

อาจเป็นเรื่องโชคดีในชีวิตของเราก็ได้ ที่มีโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่อากาศ ‘ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์’ ใช่ ร้อนที่สุดด้วยอุณหภูมิราว 40 กว่าองศาฯ และไม่มีทีท่าจะลดลงแม้แต่น้อยในแต่ละวันของช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่บอกว่าโชคดี ก็เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ทำให้มุมมองของเราเปลี่ยนไป เพราะเราเชื่อมั่นมาตลอดว่าประเทศกรุงเทพฯ ร้อนที่สุดแล้ว แต่ญี่ปุ่นร้อนกว่า

 

บรรยากาศตัวเมืองโตเกียวและวัดอาซากุสะในอุณหภูมิ 40 องศาฯ

 

ถึงกระนั้นความร้อนก็ไม่ใช่อุปสรรคใดๆ เพราะครั้งนี้เราร่วมเดินทางมากับสายการบินนกสกู๊ต และได้รับความร่วมมือจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ JNTO ที่พาเราไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ในมุมมองที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน ตัดเรื่องภูเขาไฟฟูจิทิ้งไปก่อน เพราะต้องสารภาพว่า ตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่เราท่องเที่ยวอยู่นั้น น้องเขาเหนียมอายและไม่ปรากฏตัวมาให้เราเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว และคำถามที่เกิดขึ้นในใจก็คือ แล้วถ้าไม่มีฟูจิ ประเทศยอดฮิตของคนไทยอย่างญี่ปุ่นนี้จะยังเหลืออะไรให้น่าสนใจอยู่อีกละ?

 

คำตอบก็คือ เยอะแยะไปหมด…

 

ล่องเรือทะเลสาบอาชิ ให้ลมโชยพลิ้วไหวลบล้างอากาศร้อน

 

ล่องทะเลสาบอาชิ ขึ้นสะพานแขวนขาสั่นที่ฮาโกเน่

หนึ่งจุดที่อยู่ห่างออกมาจากโตเกียว ทางตะวันตกเฉียงใต้ กับเมืองเล็กๆ น่ารักจุ๋มจิ๋มที่ชื่อว่า ‘ฮาโกเน่’ ที่มีจุดขายอย่างการล่องทะเลสาบอาชิ เพื่อชมวิวภูเขาไฟฟูจิ แต่ในเมื่อไม่เห็นฟูจิแล้วเหลืออะไร?

 

เรือขนาดใหญ่คล้ายเรือโจรสลัดนี้ พร้อมมอบประสบการณ์การชมวิวทิวเขาสุดลูกหูลูกตาให้คุณ โดยเฉพาะถ้าคุณเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ คุณก็จะได้รับลมปะทะร่างแบบชิลๆ อาบกายด้วยแดดอุ่นๆ มองน้ำสีฟ้าเข้มของทะเลสาบอาชิอย่างเพลินตา ซึ่งในขณะนั้นไกด์ท้องถิ่นก็พยายามบอกเราเสมอว่า ‘ภูเขาไฟฟูจิจะอยู่ตรงนั้นนะ’ แล้วก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้เราดู และแน่นอนว่าสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือ การจินตนาการนั่นเอง

 

สะพานแขวนมิชิมะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานแขวนสำหรับคนข้ามที่ยาวที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นจุดที่ไกด์บอกว่าเป็นจุดที่ฟูจิควรจะอยู่ (ขวา)

 

อีกหมุดหมายที่อยู่ภายในเมืองเดียวกันนั่นคือ สะพานแขวนมิชิมะ (Mishima Skywalk) สะพานแขวนข้ามหุบเขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานแขวนให้คนข้ามที่ยาวที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความยาว 400 เมตร เดินไปก็ขาสั่นไปด้วยความที่เป็นคนกลัวความสูง แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรค เพราะไกด์ยังคงบอกให้เราคิดถึงภูเขาไฟฟูจิที่อาจตั้งอยู่หลังฟ้าขมุกขมัวแถวๆ นี้ เราจึงละความสนใจจากขาที่สั่นไหวไปจดจ้องการมองหายอดฟูจิแทน ซึ่งการสร้างสะพานแห่งนี้ขึ้นมามีจุดประสงค์เพื่อยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง กับการเป็นจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง หากนับในแง่ของการเป็น ‘สถานที่ท่องเที่ยว’ ถือว่าน่าจะถูกใจนักท่องเที่ยวไม่น้อย เพราะถ่ายรูปสวย อ้อ…อย่าลืมชิมไอศกรีมโรยน้ำตาลเกล็ดสีๆ ข้างหน้าสะพานด้วยนะ

 

กลุ่มการฝึกซ้อมแพดเดิลบอร์ดขณะที่เรานั่งรถผ่าน

 

แพดเดิลบอร์ด ของฮิตใหม่จากเกาะเอโนะชิมะ

คนญี่ปุ่นเองก็มีแนวคิดเรื่องวันหยุดพักผ่อนในวันอากาศร้อนๆ เช่นเดียวกับบ้านเรา และตัวเลือกก็หนีไม่พ้นการไปเล่นน้ำทะเล นอนแผ่ร่างบนหาดทราย แต่กลับกัน ในครั้งนี้ที่เราได้เดินทางไปยังเกาะเอโนะชิมะ ในจังหวัดคานากาวะ ซึ่งห่างจากโตเกียวประมาณ 1.30 ชั่วโมงโดยรถไฟ เราได้พบกิจกรรมใหม่ที่คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่กำลังฮอตฮิตอย่างมากในย่านนี้นั่นคือ การเล่นแพดเดิลบอร์ด กระดานโต้คลื่นแบบยืนและมีไม้พาย คุณพอนึกออกใช่ไหม?

 

 

ความจริงจังของการเล่นแพดเดิลบอร์ดของคนญี่ปุ่นนั้นเข้าขั้น ‘ซีเรียส’ เพราะจากการที่เรานั่งรถผ่านหาดทุกหาดจะพบว่า มีกลุ่มคนเล่นแพดเดิลบอร์ดอยู่เยอะมาก ซ้ำยังมีการฝึกซ้อม ฝึกใช้ อย่างเป็นกิจจะลักษณะ และภาพที่เราเห็นก็คือ กระดานแพดเดิลบอร์ดนี้ลอยละล่องเต็มบริเวณอ่าว ซึ่งอาจจะเหมาะกับทะเลช่วงนี้ที่มีคลื่นลมเอื่อยๆ การได้ไปยืนเหนือนำ้ ออกแรงพายเก๋ๆ ก็ดูน่าสนุกอยู่ไม่น้อย!

 

 

ร้อนนรกที่หุบเขาโอวาคุดานิ

คำว่า ‘นรก’ ไม่ใช่เรานิยามขึ้นมาเองแต่อย่างใด เพราะทางไกด์เองก็บอกว่า ที่นี่มีชื่อเรียกอีกชื่อนอกเหนือจากชื่อทางการว่า ‘หุบเขานรก’ ซึ่งเราพบว่า เป็นหมุดหมายที่ ‘ไม่ร้อน’ ที่สุดตลอดทริปทั้งหมด เนื่องด้วยเราต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปราว 20 นาที เพื่อพบว่า อากาศข้างบนนั้นเย็นสบาย แต่จมูกก็ต้องสูดดมกลิ่นกำมะถันเข้าไปด้วย ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นแรงๆ เช่นนี้ หลีกเลี่ยงด้วยการหาผ้าปิดจมูก หรือโป๊ยเซียนสักแท่งจะช่วยคุณได้มาก

 

ทิวทัศน์โดยรอบหุบเขาโอวาคุดานิ

 

ถึงแม้บริเวณนี้จะเคยเป็นปล่องภูเขาไฟมาก่อน แต่ภูเขาไฟก็เงียบสงบมาเนิ่นนานมากแล้ว เหลือเพียงความร้อนภายใต้พื้นดินที่ยังระอุอยู่ จึงทำให้น้ำด้านล่างพวยพุ่งออกมาเป็นไอน้ำ สร้างซีนสวยๆ ให้กับสถานที่ ประกอบกับบริเวณนี้มีแร่กำมะถันหรือที่เราเรียกกันว่า ‘ซัลเฟอร์’ อยู่ในปริมาณมาก กลิ่นเหล่านั้นจึงลอยออกมาพร้อมๆ กับไอน้ำที่ว่านั่นแหละ

 

สิ่งหนึ่งที่เราไม่ได้ลอง เพราะกลัวจะเป็นส่วนหนึ่งกับนักท่องเที่ยวมากเกินไป มากเกินไปที่ว่าคือการต่อแถวซื้อ ‘ไข่ดำ’ ที่ยาวมากเหลือเกิน ซึ่งไข่ดำที่ว่าก็คือ ไข่ต้มในน้ำกำมะถันที่เขาว่ากันว่า ทานหนึ่งฟองจะมีอายุยืนอีก 7 ปี อันเป็นกุศโลบายที่ซ่อนอยู่ในแนวคิดเรื่องสุขภาพ เพราะกว่าคุณจะเดินทางมาถึงที่นี่ ต้องผ่านการเดินทางที่ยากลำบาก เป็นเสมือนการพิสูจน์ความแข็งแรงของร่างกายมนุษย์นั่นเอง ลองพาญาติผู้ใหญ่ที่บ้านไปเติมกำลังใจกันได้นะ

 

 

กรวดดำและสนสูงที่ชายหาดมิโฮ

ต้องสารภาพว่า ตลอดทริปที่ผ่านมา เรากลับชื่นชอบความง่ายดายของสถานที่นี้เป็นอย่างมาก กับชายหาดมิโฮ (Miho Beach) ในเมืองชิซึโอกะ ชายหาดกรวดดำที่จริงๆ แล้วจะมีวิวของภูเขาไฟฟูจิตระหง่านอยู่ด้านหลัง (ขอย้ำว่าตระหง่านจริงๆ จากภาพที่ไกด์ท้องถิ่นเปิดให้ชม) ซึ่งความสวยงามไม่ได้มีเพียงแค่ฟูจิลูกใหญ่เท่านั้น เพราะตลอดทางเดินเข้าชายหาดนั้นยังอุดมไปด้วยสนอายุหลายร้อยปีกว่า 30,000 ต้น ที่ขึ้นสูงแก่งแย่งความโดดเด่นกันไปมาบนชายหาดความยาว 7 กิโลเมตร อย่างน่าสนใจ ทำให้เราได้เห็นความสวยงามของการอนุรักษ์พื้นที่และธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น ทั้งการล้อมรั้วต้นสน ทางเดินไม้ระแนงที่เรียบร้อย สะอาดสะอ้าน และชายหาดที่ไม่มีเต็นท์ผ้าใบ ร้านส้มตำ หรือจุดเช่าห่วงยางมากวนใจ

 

 

แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากจะเตือนคุณไว้ก่อน แม้สถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนสถานที่ท่องเที่ยวก็จริง แต่บริเวณโดยรอบนั้นมีลักษณะเป็นพื้นที่พักอาศัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ ดังนั้นอย่าเผลอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาซี้ซั้วก่อกวนบรรยากาศของเจ้าบ้าน เดี๋ยวจะโดนเอ็ดเอา!

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

FYI

 

 

  • สายการบินนกสกู๊ต (NokScoot) เปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ถึงโตเกียว (นาริตะ) ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่เวลาเหมาะแก่การท่องเที่ยวอย่างมาก บินข้ามคืน นอนหลับเอาแรง เครื่องแลนดิ้งปุ๊บก็ออกเที่ยวปั๊บในตอนเช้าได้เลย! ทั้งยังบินด้วยเครื่องบินโบอิง-777 ลำใหญ่นั่งสบาย
  • คุณสามารถจองที่นั่งหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nokscoot.com/th
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising