×

เปิดบ้าน It’s Happened to be A Closet สัมผัสเมนูไซส์ XS คุณภาพคับจาน สวยที่หน้าตา มีดีที่รสชาติ

23.01.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนและสภาวะที่เปลี่ยนไป ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้ว It’s Happened to be A Closet ควรถึงคราวปรับเปลี่ยนเมนูอาหาร เพื่อดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ โดยที่ยังไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตมาพร้อมกับแบรนด์ ด้วยการเพิ่มเมนูขายดีจากแต่ละสาขามาใส่ไว้ที่นี่ นำเสนอเมนูไซส์ XS เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารมาลิ้มลองได้ทีละหลายๆ จาน สามารถแชร์กับเพื่อนร่วมโต๊ะได้ด้วย
  • หลังจากที่ได้ลิ้มลองค็อกเทลพบว่า แม้มาในแก้วที่เล็กลง แต่ค็อกเทลยังคงสตรอง ไม่ได้จืดหรือรสชาติออกไปทางม็อกเทล สืบทราบมาว่า โดยปกติสูตรค็อกเทลของที่ร้านใส่แอลกอฮอล์มากกว่าปกติอยู่แล้ว ดังนั้นพอปรับลดปริมาณ รสชาติค็อกเทลจึงยังคงเข้มข้น ไม่เสียรสชาติ  

ปัจจุบันแบรนด์เสื้อผ้ากับการเปิดร้านอาหารไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่หากย้อนเวลากลับไปดูเมื่อ 17 ปีที่แล้วจะพบว่า It’s Happened to be A Closet (อิตส์ แฮพเพ่น ทู บี อะ คลอเซต) นับเป็นแฟชั่นเฮาส์เจ้าแรกๆ ในเมืองไทยที่ริเริ่มต่อยอดธุรกิจเสื้อผ้าเข้าสู่ไลฟ์สไตล์แบรนด์ ด้วยการเปิดส่วนของร้านอาหารและสปาทำเล็บ-นวดเท้า ภายในอาคารย่านสยามสแควร์ ซึ่งตอนนั้นก็กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ว่าร้านเสื้อผ้าอะไร ทำไมมีอาหารขาย แถมยังมีบริการทำเล็บให้ด้วย แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับ It’s Happened to be A Closet แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโมเดลยุคใหม่ของแบรนด์เสื้อผ้าสมัยนี้ ที่ต้องเป็นมากกว่าแฟชั่นเฮาส์ แต่ต้องเข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนให้ได้   

 

 

“พี่ตัดสินใจทำร้านอาหารเมื่อเข้าปีที่ 2 เกือบปีที่ 3 เริ่มมีสปาและร้านอาหารอิตาเลียนพร้อมกัน เพื่อจะทำให้มันต่างจากร้านเสื้ออื่นๆ เราสังเกตว่าลูกค้าที่มาซื้อเสื้อเราต้องทำเล็บ อย่างน้อยๆ สัปดาห์ละครั้ง หรือถ้าพี่ขี้เมื่อย เขาก็ต้องขี้เมื่อย ซึ่งตอนนั้นเราขายอาหารไทยไม่ได้ เพราะเรื่องกลิ่น อีกอย่างคนไทยเข้าใจอาหารอิตาเลียนง่ายอยู่แล้ว หาเชฟไม่ยาก ตอนนั้นที่ทำคือจ้างเชฟใหญ่มา 2 คน มีเก้าอี้ 2 ตัวกับโต๊ะ แค่นั้นเลย” แจะ-ศิริวรรณ ธรณนิธิกุล ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของร้านอาหาร It’s Happened to be A Closet ที่ค่อยๆ ขยับขยายจากมุมหนึ่งในร้านเสื้อผ้า จนกลายมาเป็นร้านอาหารอิตาเลียนแบบ Fine Dining เต็มตัว ทั้งเพิ่มสาขาไปยังห้างสรรพสินค้าอย่างสยามพารากอนและเซ็นทรัลชิดลม ในชื่อ A Fox Princess & A Spider หรือล่าสุดอย่าง A Pink Rabbit and Bob คาเฟ่จิ๋วในย่านท่าเตียน ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีคาแรกเตอร์และเมนูอาหารที่แตกต่างกัน เพื่อให้สอดรับกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย โดยที่ยังมี ‘บ้าน 23’ หรือร้านอาหารแห่งนี้เป็นเสมือน Headquarter ที่ผูกพันกับลูกค้ามาเป็นเวลานาน

 

แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนและสภาวะที่เปลี่ยนไป ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้ว It’s Happened to be A Closet ควรถึงคราวปรับเปลี่ยนเมนูอาหารเพื่อดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ โดยที่ยังไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มเดิมที่เติบโตมาพร้อมกับแบรนด์ ด้วยการเพิ่มเมนูขายดีจากแต่ละสาขามาใส่ไว้ที่นี่ นำเสนอเมนูไซส์เล็ก จากเดิมที่เสิร์ฟมาจานใหญ่สไตล์ครัวอิตาเลียน ก็ลดลงเป็นไซส์ XS เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารมาลิ้มลองได้ทีละหลายๆ จาน สามารถแชร์กับเพื่อนร่วมโต๊ะเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่อยากลองอาหารอิตาเลียนสูตรของทางร้าน

 

 

The Vibe

ความพิเศษของ It’s Happened to be A Closet คือความครบเครื่อง มีทั้งเสื้อผ้า ร้านอาหาร และสปา ดังนั้นการตกแต่งภายในร้านจึงจัดจ้านด้วยสไตล์ที่ห่างไกลจากคำว่ามินิมัล แต่ภายใต้ความเยอะที่เหมือนประโคมใส่ ได้ผ่านการคิดมาแล้วว่าโต๊ะทรงนี้ควรตั้งตรงนี้ จาน ชาม ช้อน ส้อม ที่วางไว้ก็ควรเป็นลักษณะนี้ เพราะแต่ละโต๊ะจะมอบประสบการณ์ของการรับประทานอาหารที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากคุณมีจุดประสงค์ของการมาลิ้มรสอาหารที่ชัดเจน เช่น ออกเดตกับคนรู้ใจ ก็อาจให้ทางร้านแนะนำได้ว่าควรนั่งโต๊ะไหนถึงจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ระบุโต๊ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอมุมอับหรือมุมที่นั่งแล้วถ่ายรูปไม่สวย อย่างที่บอกว่าร้านอาหารแห่งนี้มีพื้นฐานของแฟชั่น เข้าใจเรื่องงานดีไซน์และการเล่นไลท์ติ้ง ดังนั้นถ่ายมุมไหนก็สวย มีอะไรให้เล่นเยอะ

 

 

ร้านถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บริเวณสวนด้านนอก ด้านในที่มีทั้งโต๊ะเล็ก โต๊ะใหญ่ถัดไปเป็นสระว่ายน้ำ และ Selected Shop ที่มีทั้งของแต่งบ้าน เสื้อผ้า รองเท้า และของจุกจิกต่างๆ (ที่ไม่ได้เป็นของแบรนด์นี้) เมื่อขึ้นมาชั้นบนก็จะเจอกับห้องสำหรับจัดไพรเวตปาร์ตี้ และพื้นที่ขายเสื้อผ้าและสปาสำหรับสาวๆ ที่ต้องการกรูมมิ่งตัวเองสักหน่อย

 

 

ค็อกเทลกุ้ง

 

The Dishes

จุดแข็งของที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้นได้แก่ การเลือกเชฟที่มีความเข้าใจอาหารอิตาเลียนอย่างแท้จริง ดังนั้นเมนูอาหารจึงไม่ได้เป็นแนวฟิวชันฟู้ด กินเอาเก๋ หรือเน้นถ่ายรูปสวย แต่เรื่องรสชาติอาหารไว้ที่หลัง เมื่อเชฟใหญ่อย่าง วินัย กันภัย เป็นผู้ที่อยู่กับ It’s Happened to be A Closet มาร่วม 17 ปี หลังย้ายมาจากห้องอาหารอิตาเลียนในโรงแรมระดับห้าดาว ด้วยความเข้าใจเรื่องอาหารและความไม่ผ่อนผันในรสชาติ ที่ต่อให้ได้รับโจทย์ยากจากเจ้าของร้าน ซึ่งให้ความสำคัญกับหน้าตาของอาหารที่ยกมาเสิร์ฟ แต่ทุกจานต้องอร่อย และถึงแม้จะเป็นเมนูไซส์ XS ที่ปริมาณลดลงก็จริง แต่วัตถุดิบยังคงใช้ของดี รสชาติกลมกล่อม แต่มาในราคาที่สบายกระเป๋า  

 

เริ่มจาก Appetizer อย่าง ค็อกเทลกุ้ง (220 บาท) ที่ทางร้านเสิร์ฟสไตล์คลาสสิก ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบเอกอย่างกุ้งที่ต้องตัวใหญ่และสดกรอบ ส่วนดิปที่เห็นไม่ใช่ซอสมะเขือเทศทั่วไป หากแต่เป็นค็อกเทลซอสสูตรดั้งเดิม เพื่อรสชาติที่ไม่ผิดเพี้ยน หรือประยุกต์จนผิดไปจากต้นตำรับ

 

Pama Ham

 

ส่วน Pama Ham (190 บาท) นำเข้าจากอิตาลี เสิร์ฟมาเป็นไม้เพื่อให้กินง่าย นำมาพันรอบเมลอน ปรุงรสชาติด้วยเกลือและพริกไทย น้ำมันมะกอก คั่นด้วยใบเบซิล จานนี้แนะนำให้กินทั้งชิ้นในคำเดียว เพื่อให้ได้รสชาติที่ครบรส อีกจานที่น่าสนใจได้แก่ Baked Aubergine (220 บาท) มะเขือยาวอบ ที่ด้านบนเพิ่มเท็กซ์เจอร์เพื่อให้ได้รสสัมผัสที่แตกต่าง จานนี้ไม่ค่อยอยู่ในเมนูร้านอาหารอื่น ใครอยากลองชิม มาลองที่นี่ได้ 

 

Baked Aubergine

 

ส่วนจานขายดีได้แก่ Spider Quinoa Salad (290 บาท) ทางร้านใช้ควินัวสามสี เหมาะกับคนไม่ชอบกินสลัด แต่อยากมองหาอาหารเพื่อสุขภาพ เบาแคลอรี และที่สำคัญต้องกินง่าย ส่วนผสมในงานนอกจากควินัวแล้ว ยังมีหอมแดงหั่นเต๋า ถั่วอัลมอนด์อบ ถั่วลูกไก่อบด้วยซินนามอนเสริมกลิ่น พริกชี้ฟ้าเขียว ใบเบซิล และสะระแหน่ เติมความหวานอมเปรี้ยวเพื่อให้กินได้ง่ายขึ้นด้วยแครนเบอร์รีอบแห้งและองุ่น คลุกเคล้าด้วยสลัดน้ำใสที่รสชาติออกเปรี้ยว ไม่หนักจนเกินไป เหมาะสำหรับสั่งมาแชร์กัน หรือกินคนเดียวในวันที่ไม่อยากอิ่มจนแน่นท้องเกินไปนัก  

 

Spider Quinoa Salad

 

Green Salmon

 

มาถึงจานหลัก Green Salmon (390 บาท) ซึ่งได้ไอเดียตั้งต้นมาจากการอยากทำเมนูแซลมอนที่ไม่ใช้ซอสดั้งเดิม หน้าที่ของเชฟคือทำการบ้านว่าในบรรดาตำราอาหารทั้งหมด ซอสสีเขียวสูตรไหนที่สามารถพลิกแพลงมากินคู่กับแซลมอน จนได้มาเป็นจานนี้ ซึ่งตัวมินต์ซอสได้จากถั่วลันเตากับ broadbean หรือถั่วปากอ้า ส่วนปลาแซลมอนนำเข้าจากประเทศนอร์เวย์ เนื้อปลาสุกกำลังดี กินคู่กับซอสที่มีเท็กซ์เจอร์ค่อนข้างหนัก แต่รสไม่จัดจนเกินไป

 

Black Ravioli Crab Meat

 

ต่อด้วย Black Ravioli Crab Meat (320 บาท) ซึ่งเป็นราวิโอลีสไตล์โฮมเมดที่ผสมหมึกดำลงไป สอดไส้เนื้อปูปรุงรส ก่อนราดด้วยซอสครีมแซลมอน โรยด้วยอิคุระหรือไข่ปลาแซลมอน เพิ่มรสมันๆ เค็มๆ ได้เท็กซ์เจอร์กรุบในปาก สัมผัสที่ได้จึงมีความเป็นอาหารทะเลออกมาชัดเจน ทั้งจากตัวซอส เนื้อปูด้านใน และไข่ปลาแซลมอน

 

 

 

The Desserts

แผนกเบเกอรีของที่นี่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 17 ปี จนเปิดเป็นคาเฟ่ของตัวเองในชื่อ A Pink Rabbit and Bob ดังนั้นการมาที่นี่ถ้าจะไม่ปิดมื้ออาหารด้วยเค้กสักชิ้นก็ดูเหมือนยังมาไม่ถึง แต่ละวันมีขนมเค้กให้เลือกสรรมากกว่า 20 รายการ ไม่ว่าจะเป็น Zebra Mascarpone เค้กช็อกโกแลตเข้มข้นหนักแน่น เสริมมิติด้วยชีสมาสคาร์โปน Praline เค้กที่มีถั่วเคลือบคาราเมลด้านบน หรือ Lemon Meringue สำหรับคนชอบเค้กอมเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเมนูพิเศษประจำฤดูกาลอย่าง ลอนตาลเมอแรงก์ ส่วนชาที่ทางร้านใช้เป็นของ Mariage Freres และกาแฟจาก Lavazza เท่านั้น    

 

ชิ้นนี้เรียก Praline

 

Lemon Meringue

 

The Drinks

จากสไตล์การแต่งร้านและหน้าตาของอาหาร น่าจะเดาได้ว่ารสชาติค็อกเทลของที่นี่ก็แรงไม่แพ้กัน เพราะค็อกเทลต้องแซ่บ ทุกแก้วต้องอร่อยจัดจ้าน และขอบอกว่าไม่ใช่แค่เมนูอาหารที่ลดขนาดลง ค็อกเทลทุกแก้วลดไซส์ได้หมด แต่ยังคงใช้เหล้าดีเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า เช่น Red Margarita (250 บาท) ที่นำแตงโมไปแช่ในจิน ก่อนเติมความร้อนแรงด้วยวอดก้า เตกีลา และ Triple Sec ตัดเปรี้ยวด้วยผลไม้ต่างๆ Papabouble (195 บาท) ค็อกเทลสีออฟไวต์ เบสเป็นไวต์รัมผสมน้ำผลไม้ที่มอบรสเปรี้ยวของเกรปฟรุตและน้ำมะนาว หลังจากที่ได้ลิ้มลองพบว่า แม้มาในขนาด XS แต่ค็อกเทลยังคงสตรอง ไม่ได้จืดหรือรสชาติออกไปทางม็อกเทล สืบทราบมาว่า โดยปกติสูตรค็อกเทลของที่ร้านใส่แอลกอฮอล์มากกว่าปกติอยู่แล้ว ดังนั้นพอปรับลดปริมาณ รสชาติค็อกเทลจึงยังคงเข้มข้น ไม่เสียรสชาติ  

 

Papabouble

 

It’s Happened to be A Closet

Open: ทุกวัน 08.00-10.00 น. สำหรับมื้อเช้า และ 10.00-22.00 น.

Address: สุขุมวิท ซอย 23 กรุงเทพฯ

Budget: 600 บาทต่อคน

Contact: 08 1565 2026

Map:

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising