×

อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ

โดย THE STANDARD TEAM
12.07.2021
  • LOADING...
อิตาลีที่คู่ควรแชมป์ / คำสาปอังกฤษ / ทำเนียบแชมป์และสถิติ

ฟุตบอลยูโร 2020 จบลงพร้อมกับที่ถ้วยอองรี เดอโลเนย์ ถูกชูขึ้นจากมือของ จอร์โจ คิเอลลินี หมายความอิตาลีเป็นชาติที่คว้าชัยในการแข่งขันครั้งนี้เหนืออังกฤษ จากการดวลลูกที่จุดโทษ และครอบครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ แม้จะต้องเล่นท่ามกลางแฟนบอลอังกฤษจำนวนหลายหมื่นคนในสนามเวมบลีย์ก็ตาม และนี่คือประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น

 

เหตุการณ์ที่พลิกผัน

 

ในเกมรอบชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ สเตเดียม ถือเป็นเกมที่สนุกและมีจุดพลิกผันที่ส่งผลต่อเกมหลายครั้งในเกมเดียว โดยครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเกมนาทีที่ 2 ของเกมโดย อังกฤษ ขึ้นนำอิตาลีจากการยิงของ ลุค ชอว์ ทำให้เกมแพลนที่อิตาลีเตรียมไว้ว่าจะมาครองบอลบุกเข้าใส่ต้องเสียขบวนไปพอสมควรจากการเป็นผู้ตามอังกฤษตั้งแต่ต้นเกม พวกเขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการตั้งสติ และกินเวลาไปถึงกลางครึ่งแรกเลยทีเดียวกว่าจะสามารถเริ่มเล่นฟุตบอลในแบบที่เขาถนัดได้ ในทางกลับกัน นั่นก็เป็นเพียงโอกาสจะแจ้งครั้งเดียวของอังกฤษในเกมนี้ ถ้าไม่มีประตูนี้เกมอาจจะจบใน 90 นาทีก็ได้

 

จุดพลิกผันครั้งที่ 2 อิตาลีสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง หลังจากที่ใช้เวลาในช่วงปลายครึ่งแรกและต้นครึ่งหลังบุกใส่อังกฤษแล้วยังไม่มีโอกาสจบสกอร์เท่าที่ควร โรแบร์โต มันชินี ชิงเปลี่ยนตัวเร็วตั้งแต่นาทีที่ 53 และปรับทัพมาเป็นระบบ ‘False 9’ โดยให้ เฟเดริโก เคียซา ย้ายมาประจำการทางฝั่งซ้าย นั่นทำให้เขามีบทบาทมากขึ้นและนำไปสู่การได้ลูกเตะมุมที่ตีเสมอเกมนี้

 

จุดเปลี่ยนครั้งที่ 3 ถือเป็นโชคร้ายของอิตาลีที่ครองเกมได้ดีและกำลังป่วนเกมรับของอังกฤษอย่างสนุก นั่นคืออาการบาดเจ็บของเคียซาที่กำลังโชว์ฟอร์มเจาะฝั่งซ้ายในแนวรับของอังกฤษได้น่าดูชม กลับมีอาการบาดเจ็บเล่นงานจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปท้ายครึ่งหลัง นั่นทำให้ศักยภาพของอิตาลีหลังจากนั้นในการขึ้นเกมรุกกลับไปเหมือนต้นครึ่งแรกอีกครั้งคือ ครองบอลได้ แต่หาจังหวะจบสกอร์ไม่ได้

 

เมื่ออิตาลีจบสกอร์ไม่ได้ เกมก็ต้องดำเนินไปในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษ นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ส่งทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ จาดอน ซานโช ลงมาในนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาเพื่อวางตัวมาให้ยิงลูกที่จุดโทษ แต่กลายเป็นว่าทั้งคู่ยิงจุดโทษไม่เข้า และโยนความกดดันไปให้ บูกาโย ซากา ที่ยิงเป็นคนสุดท้ายให้ต้องเข้าเท่านั้นเพื่อตีเสมอเกม ซึ่งเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับดาวรุ่งวัย 19 ปี ที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูมือดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ทำให้สุดท้ายแชมป์ก็ตกไปอยู่ในมือของอิตาลีในท้ายที่สุด

 

คำสาปการยิงจุดโทษของอังกฤษ

 

นับเป็นเรื่องที่กลับมาหลอกหลอนอังกฤษอยู่เสมอ เมื่อต้องตัดสินเกมด้วยการดวลลูกที่จุดโทษกับความพ่ายแพ้ในอดีต เช่นเดียวกับในครั้งนี้ที่แม้การดวลจุดโทษกับอิตาลีจะเกิดขึ้นในเวมบลีย์ และอังกฤษก็เสี่ยงเหรียญได้เลือกว่าจะยิงลูกที่จุดโทษต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผลการดวลลูกที่จุดโทษออกมาได้ดังใจที่ต้องการ และต้องเจ็บปวดจากการตัดสินเกมด้วยวิธีนี้อีกครั้ง

 

อังกฤษต้องตัดสินเกมดวลการดวลจุดโทษทั้งหมด 10 ครั้ง แบ่งเป็นในรายการฟุตบอลโลก 4 ครั้ง ในฟุตบอลยูโร 5 ครั้ง และในยูฟ่าเนชันส์ลีกอีก 1 ครั้ง แต่พวกเขาเอาชนะในการยิงลูกที่จุดโทษได้เพียง 3 ครั้ง จาก 10 ครั้ง และมันเกิดขึ้นในยุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ถึง 2 ครั้ง นั่นคือ ในฟุตบอลโลก 2018 ที่อังกฤษเอาชนะโคลอมเบีย 4-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และเกมชิงอันดับ 3 ของเนชันส์ลีก 2019 ที่ อังกฤษเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ 6-5 ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นในยูโร 1996 ที่อังกฤษเอาชนะสเปนได้ 4-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

 

การดวลจุดโทษพ่ายอิตาลีครั้งนี้ ทำให้อังกฤษพ่ายอิตาลีทั้ง 2 ครั้งที่มีการดวลลูกที่จุดโทษกัน โดยอีกครั้งเกิดขึ้นในยูโร 2012 และมีเพียง 3 ชาติเท่านั้นที่เคยดวลจุดโทษกับอังกฤษ 2 ครั้งและชนะได้หมด โดยนอกจากอิตาลีแล้วก็มีเยอรมนีกับโปรตุเกส ขณะที่อาร์เจนตินาเคยดวลจุดโทษกับอังกฤษครั้งเดียวในฟุตบอลโลก ฟรองซ์ 98 และเอาชนะอังกฤษมาได้เช่นกัน

 

โดยทั้ง 10 ครั้งในการดวลลูกที่จุดโทษ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่อังกฤษยิงจุดโทษเข้าหมดทุกคนที่พวกเขาส่งลงมายิง คือการดวลลูกที่จุดโทษในรายการเนชันส์ลีก 2019 ที่อังกฤษเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ โดยทั้ง 6 คนของอังกฤษยิงเข้าได้ทั้งหมด ซึ่งจากครั้งนั้นหลายคนก็มองว่าอังกฤษน่าจะเอาชนะคำสาปการดวลลูกจุดโทษได้แล้ว แต่ในค่ำคืนที่ผ่านมาทุกคนก็ได้รู้ว่าเรื่องนั้นมันไม่จริงเลย

 

ทำเนียบแชมป์

 

แม้จะรอมาถึง 53 ปี แต่ชัยชนะที่สนามเวมบลีย์ ทำให้อิตาลีคว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ ทำให้พวกเขาเป็นชาติที่ 4 ที่คว้าแชมป์ได้ 2 สมัยขึ้นไป ไล่หลังทีมอย่าง เยอรมนีที่เคยได้ 3 สมัย ในปี 1972, 1980 และ 1996 กับสเปนที่ได้แชมป์ 3 สมัยเท่ากัน ในปี 1964, 2008 และ 2012 โดยทัพ ‘กระทิงดุ’ ยังเป็นชาติเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลยูโรได้สำเร็จด้วย

 

ขณะที่อีกชาติที่ได้แชมป์ 2 สมัย เท่ากับอิตาลี คือ ฝรั่งเศสที่ได้แชมป์ในปี 1984 ภายใต้การนำทัพของ ‘นโปเลียนลูกหนัง’ มิเชล พลาตินี และอีกครั้งในปี 2000 ที่เอาชนะอิตาลีจากประตู ‘โกลเดนโกล’ ของ ดาวิด เทรเซเกต์ โดยนอกจากนั้นก็เป็นบรรดาทีมที่ได้แชมป์ชาติละสมัยอย่างสหภาพโซเวียต, สาธารณรัฐเช็กสมัยยังเป็น เชโกสโลวะเกีย, โปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก และกรีซ

 

นอกจากนี้ยังมีชาติสุดระทมที่เคยเข้าชิงแชมป์แต่ไม่ได้แชมป์ไปครองอยู่อีก 3 ชาติ ได้แก่ ยูโกสลาเวีย ที่เคยเข้าชิงถึง 2 ครั้ง แต่พลาดทั้งหมดในปี 1960 และ 1968 ตามมาด้วยเบลเยียม ที่เคยเข้าชิงในปี 1980 แต่พ่ายต่อเยอรมนีตะวันตก และล่าสุดก็คืออังกฤษ ที่ได้เข้าชิงฟุตบอลเมเจอร์ระดับชาติครั้งแรกในรอบ 55 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966 แต่ก็พ่ายต่ออิตาลีในการดวลลูกที่จุดโทษ

 

รางวัลต่าง ๆ และสถิติ

 

นอกจากจะได้แชมป์อย่างอิตาลีและรองแชมป์อย่างอังกฤษที่ได้รับเงินรางวัลไป 10 ล้านยูโร และ 7 ล้านยูโร ตามลำดับแล้ว ยังมีรางวัลที่ถูกมอบให้กับนักเตะแต่ละคนเป็นการส่วนตัว เพื่อแสดงออกถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมในการลงเล่นทัวร์นาเมนต์นี้ของพวกเขาด้วย

 

คริสเตียโน โรนัลโด จากโปรตุเกส คว้ารางวัลรองเท้าทองคำในตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง จากการยิง 5 ประตู ใน 4 นัด เอาชนะ พาทริก ชิก กองหน้าสาธารณรัฐเช็ก ที่ยิงได้ 5 ประตูเท่ากัน แต่ใช้จำนวนเกมมากกว่าที่ 5 นัด ทำให้ได้รางวัลรองเท้าเงินในตำแหน่งรองดาวซัลโว และรองเท้าทองแดงในอันดับที่ 3 ตกเป็นของ คาริม เบนเซมา จากฝรั่งเศส กับผลงานการยิง 4 ประตูจากการลงสนาม 4 เกม

 

ขณะที่รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์ หรือรางวัลโกลเดนบอล ถูกมอบให้กับ จานลุยจิ ดอนนารุมมา ที่แม้จะเสียประตูเยอะกว่าเมื่อเทียบกับ จอร์แดน พิกฟอร์ด แต่เขามีบทบาทช่วยทีมเซฟลูกยากๆ มากกว่าเช่นกัน และที่สำคัญคือผลงานการเซฟลูกที่จุดโทษในเกมรอบรองชนะเลิศกับสเปนและรอบชิงชนะเลิศกับอังกฤษ ที่มีส่วนสำคัญในการพาอิตาลีเถลิงแชมป์ยูโรในครั้งนี้ด้วย

 

ส่วนสถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ อิตาลีและสเปนยิงมากที่สุดในฤดูกาล เท่ากันที่ชาติละ 13 ประตู แต่อิตาลีได้ลงสนามมากกว่า 1 เกม ส่วนสเปนตกรอบรอง ได้เล่นแค่ 6 เกมเท่านั้น ขณะที่ชาติที่ยิงประตูน้อยที่สุด ได้แก่ ฟินแลนด์ ตุรกี และสกอตแลนด์ โดยทั้ง 3 ชาติยิงเท่ากันที่ 1 ประตูในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกม และตกรอบไปพร้อมๆ กัน ด้านอังกฤษครองสถิติเสียประตูน้อยที่สุด เพียง 2 ประตูจาก 7 เกม ซึ่งยูเครนคือทีมที่ตรงข้ามกับพวกเขา ซึ่งเสียประตูมากที่สุดถึง 10 ประตูใน 5 เกมของทัวร์นาเมนต์นี้

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising