ในที่สุดประเทศไทยก็ขยับขึ้นเป็นกลุ่มประเทศ Tier 1 สำหรับการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Apple ที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ อย่าง ‘iPhone 14’
ข้อมูลบนเว็บไซต์ Apple ระบุว่า ลูกค้าคนไทยสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับ iPhone 14 ในวันที่ 9 กันยายน เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. และเริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายนนี้ โดย ‘ไทย’ เป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถซื้อเป็นกลุ่มแรกร่วมกับ ออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อินเดีย, อิตาลี, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สเปน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และอีกกว่า 30 ประเทศและภูมิภาคอื่นๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หุ้นตัวแทนขาย iPhone ยังนิ่ง แม้ไทยถูกขยับขึ้นมาเป็นกลุ่ม Tier 1 สำหรับการวางขาย iPhone 14
- Apple เผยโฉม iPad Air และ iPhone SE พร้อม iPhone 13 สีใหม่ ในงาน Peak Performance
- Apple เปิดตัว iPhone 13 อัดความจุสูงสุด 1TB ในโมเดล Pro เคาะราคาขายไทยเริ่ม 38,900 บาท ด้าน AirPods Pro ใหม่ยังไร้วี่แวว
สำหรับ iPhone 14 ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 32,000 บาท, iPhone 14 Plus หน้าจอ 6.7 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 37,000 บาท เฉพาะรุ่นนี้จะเริ่มวางจำหน่าย 7 ตุลาคม โดยรุ่นนี้มีกล้องหลักความละเอียด 12MP อัลตราไวด์ กล้องหน้า TrueDepth พร้อมออโต้โฟกัส มีชิป A15 Bionic พร้อม GPU แบบ 5-core
ส่วน iPhone 14 Pro หน้าจอ 6.1 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 41,900 บาท และสุดท้าย iPhone 14 Pro Max หน้าจอ 6.7 นิ้ว มีราคาเริ่มต้น 44,900 บาท และมีราคาแพงสุดอยู่ที่ 66,900 บาทสำหรับความจุ 1TB
ที่น่าจับตาคือ iPhone 14 Pro ไม่ได้เป็นติ่งเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ถูกปรับเป็น Dynamic Island ซึ่งจะทำให้มีวิธีการแจ้งเตือนและกิจกรรมต่างๆ ในรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับมาพร้อมจอภาพแบบติดตลอด, กล้องความละเอียด 48MP ครั้งแรกบน iPhone, คุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม และชิป A16 Bionic ที่เคลมว่าเป็น ‘ชิปสมาร์ทโฟนที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา
สำหรับบริการ SOS ผ่านดาวเทียมวางแผนที่จะให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปีแรก โดยเริ่มที่อเมริกาและแคนาดาในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังจากพ้นช่วงฟรีแล้ว Apple จะคิดราคา 15 ดอลลาร์ หรือราว 550 บาทต่อเดือน
เซอร์ไพรส์ ‘ไม่ขึ้นราคา’ (แต่ไม่ใช่ไทย)
อย่างไรก็ตามสื่อยักษ์ใหญ่ในอเมริกาต่างตีข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า เรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ในครั้งนี้คือการที่ Apple ไม่ได้มีการ ‘ขึ้นราคา’ สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อประจำปีของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 8.5% ในเดือนกรกฎาคม 2022
ในอเมริกา iPhone 14 และ 14 Plus จะเริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์ และ 899 ดอลลาร์ ตามลำดับ ซึ่งเป็นราคาเริ่มต้นเดียวกับปีที่แล้ว ขณะที่ iPhone 14 Pro และ Pro Max เริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ และ 1,099 ดอลลาร์ ตามลำดับ อันเป็นราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ราคาเดิมสวนทางกับก่อนหน้านี้ที่นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า Apple จะขึ้นราคารุ่นพรีเมียมอีก 100 ดอลลาร์ หรือราว 3,600 บาท
หากจะบอกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ผิดก็ได้ แต่นั่นเป็นในตลาดอเมริกา หากตลาดประเทศไทยได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นราว 2,000 บาทด้วยกัน อย่าง iPhone 13 Pro Max เริ่มต้น 42,900 บาท และแพงสุด 62,900 บาท ขณะที่ iPhone 14 Pro Max เคาะราคาเริ่มต้น 44,900 บาท และแพงสุดอยู่ที่ 66,900 บาท
“เป็นเรื่องน่าประทับใจที่ Apple ยังคงรักษาระดับราคาเดิม” Leo Gebbie นักวิเคราะห์ของ CCS Insight กล่าว “เราคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิตและส่วนประกอบที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าขนส่งที่เพิ่ม จะทำให้ Apple ปรับราคาขายปลีกให้สูงขึ้น”
รายงานของ Nikkei Asia ระบุว่า ข้อจำกัดด้านซัพพลายเชนกระทบรายรับของ Apple ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเมษายน-มิถุนายน 2022 ส่วนใหญ่เกิดจากการปิดโรงงานในจีนภายใต้ข้อจำกัดที่เข้มงวดของโรคโควิด
นอกจากนี้คลื่นความร้อนทำให้มีการปิดโรงงานซัพพลายเออร์ของ Apple หลายแห่งในภาคกลางของจีน รวมถึงเฉิงตูซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิต iPad และ MacBook ขณะที่ซัพพลายเออร์ในเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตอีกแห่งหนึ่ง ก็กำลังประสบปัญหาขาดแคลนพนักงานอันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านโควิดที่เข้มงวด
กลัวลูกค้าจ่ายไม่ไหว
แม้ว่าราคาในสหรัฐฯ จะค่อนข้างคงที่ แต่ Apple กำหนดราคาที่ต่างกันในแต่ละประเทศ และบางครั้งอาจแตกต่างจากราคาอเมริกันที่แปลงเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตอนนี้เงินดอลลาร์สหรัฐกำลังแข็งค่า
เชื่อว่าที่ Apple ไม่ได้ขึ้นราคาเพราะกำลังเดิมพันคุณสมบัติใหม่ว่าจะเพียงพอที่ดึงดูดให้ลูกค้ายอมควักเงินออกจากกระเป๋าหรือไม่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่กังวัลถึงภาวะถดถอย ซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ลูกค้าจ่ายไม่ไหว นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันที่รุนแรงจาก Samsung และผู้เล่นรายอื่นๆ
ปัจจุบัน Apple คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 49% ของยอดขายสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ ซึ่งแซงหน้าสมาร์ทโฟน Android ในรอบหลายปี และ Insider Intelligence คาดว่าจะเพิ่มเป็น 50% ภายในปี 2024
“ในขณะที่คุณสมบัติหลายอย่างที่ประกาศในวันนี้ เป็นการปรับปรุงที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ แต่เราเชื่อว่า Apple ได้ทำเพียงพอที่จะกระตุ้นความต้องการ โดยชักชวนให้ผู้บริโภคอัปเกรดและดื่มด่ำกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของตน” Neil Saunders กรรมการผู้จัดการ บริษัทวิจัย GlobalData กล่าว
iPhone ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของ Apple โดยสร้างยอดขายได้ประมาณ 50% และช่วยเพิ่มรายได้จากบริการต่างๆ เช่น App Store และ Apple TV+ นอกจากนี้ยังเกลี้ยกล่อมลูกค้าให้ซื้ออุปกรณ์เสริม เช่น AirPods และ Apple Watch
ทั้งนี้ IDC คาดว่าการจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะลดลงกว่า 6% ในปีนี้ แม้ว่าตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดหมู่ระดับล่างสุดซึ่ง Apple ไม่ได้แข่งขันในตลาดดังกล่าว
หุ้นของ Apple เพิ่มขึ้นเกือบ 1% เป็น 155.96 ดอลลาร์ในนิวยอร์ก เมื่อเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่ภาพรวมหุ้นยังคงลดลง 12% สำหรับในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับหุ้นเทคโนโลยี
Apple Watch ใหม่
ในงานดังกล่าว Apple เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ใหม่ 3 รุ่นในงาน ได้แก่ Series 8, SE และ Ultra
Apple Watch Series 8 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ติดตามค่าอุณหภูมิ ซึ่งหลักๆ จะเหมาะสำหรับผู้หญิง เพราะเซ็นเซอร์จะสามารถคาดคะเนช่วงไข่ตกได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และยังมีการตรวจจับการชนกันสำหรับเหตุรถชนอย่างรุนแรง
ในสหรัฐฯ Series 8 เริ่มต้นที่ 399 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับสมาร์ทวอทช์ของ Apple รุ่นก่อน ส่วนราคาไทยเริ่มต้น 15,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 19,900 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 2,000 บาท เมื่อเทียบกับ Series 7 ที่มีราคา 13,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และเริ่มต้น 17,500 บาท สำหรับรุ่น GPS + Cellular
ด้าน Apple Watch SE ได้อัปเดตให้เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 20% มีราคาเริ่มต้น 9,900 บาท แพงขึ้นราว 500 บาทเมื่อเทียบกับ 9,400 บาท ที่เปิดตัวในปี 2563 ส่วนรุ่น GPS + Cellular ที่มีราคาเริ่มต้น 10,900 บาท ขยับขึ้น 1,000 บาท เป็น 11,900 บาท
ครั้งนี้ Apple ได้มีการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่อย่าง Ultra สำหรับสายกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม มาในตัวเรือนไทเทเนียม 49 มิลลิเมตร และด้านหน้าแบบผลึกแซฟไฟร์
นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดในบรรดา Apple Watch โดยใช้งานได้นานสูงสุด 36 ชั่วโมง สำหรับการใช้งานปกติ และมีการตั้งค่าประหยัดพลังงานเพิ่มมาใหม่ ซึ่งสามารถยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ได้นานสูงสุดถึง 60 ชั่วโมง
เคาะราคาเริ่มต้น 31,900 บาท โดยยังไม่ได้เปิดเผยวันที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
มาแล้ว AirPods Pro
ในงานนี้ Apple ยังได้อวด AirPods Pro รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
AirPods Pro ใหม่จะมีเวลาฟังถึง 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งดีกว่ารุ่นดั้งเดิม หูฟังและเคสได้รับการติดตั้งให้ส่งเสียงเพื่อช่วยค้นหา และการปัดเบา ๆ ขึ้นและลงที่หูฟังจะเพิ่มหรือลดระดับเสียง
รุ่นใหม่นี้ AirPods Pro มาพร้อมกับเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบไดนามิก และสามารถตัดเสียงรบกวนได้เป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นดั้งเดิม
AirPods Pro 2 จะพร้อมให้สั่งซื้อในเร็วๆ นี้ในราคา 8,990 บาท ซึ่งน่าแปลกใจว่านี่เป็นราคาเปิดตัวที่ลดลงเมื่อเทียบกับ AirPods Pro ที่มีราคาเปิดตัว 9,490 บาท (ก่อนจะปรับราคาลงเหลือ 8,992 บาท)
สวนทางกับสินค้าอื่นๆ ที่ต่างขยับราคาขึ้นกันถ้วนหน้า
หมายเหตุ: เพิ่มเนื้อหาเมื่อเวลา 11.29 น.
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/09/07/apples-biggest-iphone-surprise-no-us-price-hikes.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-07/apple-unveils-iphone-14-with-camera-upgrades-satellite-feature
- https://edition.cnn.com/2022/09/07/tech/apple-september-event-highlights-trends/index.html
- https://asia.nikkei.com/Business/Technology/Apple-unveils-new-iPhone-14-as-supply-chain-headwinds-persist