×

กูรูแนะนักลงทุนโยกเงินเข้าหุ้น Value หรือหุ้นยุโรป หลังสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีส่วนต่างกำไร

26.04.2021
  • LOADING...
กูรูแนะนักลงทุนโยกเงินเข้าหุ้น Value หรือหุ้นยุโรป หลังสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีส่วนต่างกำไร

จากกรณีที่สหรัฐฯ มีแผนจะเรียกเก็บภาษีกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain) ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มขายหุ้นสหรัฐฯ ออกมาส่วนหนึ่ง และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐฯ อย่าง Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ปิดลบไปเกือบ 1% ในวันที่ประกาศแผนออกมา 

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า บริบทของการเก็บภาษีเพิ่มเติมในยุคของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ค่อนข้างต่างจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ พอสมควร 

 

โดยในยุคของทรัมป์จะเน้นเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทสหรัฐฯ มากกว่า ขณะที่ไบเดนต้องการความเหลื่อมล้ำของชาวอเมริกัน นโยบายที่ออกมาจึงเป็นการพยายามเกลี่ยเงินจากกลุ่มคนรวยไปยังกลุ่มคนจน ซึ่งในส่วนของนโยบายภาษีส่วนต่างกำไรจากการลงทุนน่าจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และน่าจะเห็นการขึ้นภาษีธุรกิจตามมาด้วย 

 

ประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนขายหุ้นที่มีกำไรเพื่อลดความเสี่ยงในส่วนนี้ โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งหากมีการเก็บภาษีธุรกิจเพิ่มขึ้นตามมา กลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงบริษัทขนาดกลางและเล็กที่ยังมีฐานกำไรไม่มากก็จะได้รับผลกระทบหนักกว่า 

 

“เชื่อว่าตลอดช่วงไตรมาส 2 นี้เราจะอยู่กับประเด็นเรื่องของภาษีตลอดทั้งไตรมาสแน่ๆ ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่อาจจะ Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ แต่สำหรับประเทศไทยซึ่งเริ่มเห็นแนวโน้มการปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปีนี้ลงเหลือไม่ถึง 2% ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจจะเป็นลำดับท้ายๆ หากเงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ มากขึ้น” 

 

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจ เพราะถึงแม้ว่าจะมีนโยบายเก็บภาษีเพิ่มเติม แต่หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน หรือกลุ่ม Value จะเป็นหลุมหลบภัยที่ดี เพราะภาษีที่ถูกเก็บเพิ่มขึ้นจะถูกนำมาใช้ในการลงทุนต่อ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตขึ้น 

 

ขณะที่กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีความเสี่ยงมากขึ้น

 

นอกจากนี้ในกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่มองว่า ‘จีน’ และ ‘เวียดนาม’ จะเป็นสองตลาดที่เติบโตมากที่สุดในเอเชียในช่วง 3 ปีข้างหน้า 

 

ขณะที่ ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ข้อเสนอที่จะเก็บภาษีส่วนต่างกำไรเบ็ดเสร็จรวม 43.4% สำหรับบุคคลทั่วไปในสหรัฐฯ ในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่สูงขนาดนั้น ส่วนตัวมองว่าระดับที่เพิ่มขึ้นอาจจะอยู่ที่ราว 30% จากปัจจุบันที่ 20% 

 

ทั้งนี้การเก็บภาษีดังกล่าวไม่น่าจะกระทบกับกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ในแง่ที่ว่าเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่อาจจะถูกกระทบจาก Sentiment ของตลาดที่อาจจะเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนในประเทศ ทำให้การทำกำไรของกองทุนยากขึ้น 

 

ขณะเดียวกันหากประเมินในเชิงพื้นฐาน จะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มพัฒนาแล้ว โดยดัชนีตลาดหุ้นอย่าง Dow Jones ปัจจุบันมี P/E 20 เท่า Nasdaq อยู่ที่ 34 เท่า S&P 500 อยู่ที่ 23 เท่า ส่วนตลาดหุ้นในยุโรป อาทิ ดัชนี Euro Stoxx 50 มี P/E 9 เท่า อังกฤษ 14 เท่า เยอรมนี 16 เท่า และฝรั่งเศส 18 เท่า 

 

หรือหากเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชีย ได้แก่ จีน 12.6 เท่า, ฮ่องกง 13 เท่า, ไต้หวัน 13 เท่า, เกาหลีใต้ 14 เท่า, อินโดนีเซีย 16.2 เท่า, ฟิลิปปินส์ 17.6 เท่า และไทย 19.5 เท่า จะเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างแพงกว่าทั้งหมด 

 

“การกระจายพอร์ตลงทุนปัจจุบัน ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มองว่าตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจมากกว่า ทั้งจากราคาหุ้นที่ยัง Laggard และด้วยธุรกิจที่อยู่ในภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ หากกระจายวัคซีนได้มากขึ้นและเปิดประเทศได้ กำไรของบริษัทในยุโรปจะเติบโตเร็ว ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเรื่องของภาษีธุรกิจอยู่อีก ซึ่งจะยิ่งกดดันให้ P/E ของหุ้นสหรัฐฯ สูงขึ้นไปอีก” 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising