×
SCB Omnibus Fund 2024

นักลงทุนหลบเก็งกำไรหุ้นเล็กหนีโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่วนหุ้น ‘ท่องเที่ยว-ขนส่ง-อสังหาฯ’ ยังเป็น 3 กลุ่มหลักที่โดนกระทบมากที่สุด

26.04.2021
  • LOADING...
นักลงทุนหลบเก็งกำไรหุ้นเล็กหนีโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่วนหุ้น ‘ท่องเที่ยว-ขนส่ง-อสังหาฯ’ ยังเป็น 3 กลุ่มหลักที่โดนกระทบมากที่สุด

การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยภาพรวมกลับมามีความกังวลอีกครั้ง โดยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (23 เมษายน) ดัชนี SET ย่อลงราว 1% ซึ่งถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มหลัก ได้แก่ พลังงาน -2.68% ธนาคาร -3.34% ส่วนหุ้นกลุ่มที่ถูกกดดันมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ท่องเที่ยว -7.04% ขนส่ง -5.31% และอสังหาริมทรัพย์ -4.27%

 

ในมุมกลับกันจะเห็นว่าหุ้นในกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็กยังเป็นกลุ่มที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งจะเห็นได้จากดัชนี mai ที่ปรับเพิ่มขึ้น +7.14% ขณะที่ดัชนี sSET +2.69%

 

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า โดยภาพรวมการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ถือว่ากระทบต่อตลาดหุ้นค่อนข้างน้อยมาก โดยเฉพาะกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งไม่ได้กระทบจากการระบาดในระลอกนี้มากนัก ด้วยโครงสร้างตลาดในปัจจุบันซึ่งมีสัดส่วนจากหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1 ใน 3 ทั้งในแง่ของมูลค่าตลาดและกำไรของตลาด

 

“ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นมามาก ทำให้เห็นแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นกลุ่มเหล่านี้เป็นหลัก ซึ่งหลายบริษัทในตลาดหุ้นไทยเป็นหุ้นขนาดเล็ก จึงเห็นว่าหุ้นขนาดเล็กปรับขึ้นได้แรงกว่า” 

 

ทั้งนี้ คาดว่าภาพการลงทุนในตลาดหุ้นจะยังเป็นลักษณะเช่นนี้ต่อไปทั้งไตรมาส 2 จากการที่บริษัทต่างๆ เร่งเติมสต๊อกสินค้า เพื่อทดแทนส่วนที่ลดลงไปจากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ดีมานด์ต่อสินค้าโภคภัณฑ์ยังสูง ในขณะที่ซัพพลายบางส่วนยังผลิตได้ไม่ทัน แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลังราคาของสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับไปตามความต้องการที่แท้จริง 

 

“ในระยะสั้น เชื่อว่าหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอยู่บ้านจะโดดเด่นกว่าตลาด โดยเราแนะนำหุ้นเด่นอย่าง TMT, KSL และ AS”

 

ด้าน อาทิตย์ จันทร์สว่าง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะเห็นแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ เหล็ก, การเดินเรือ และโรงพยาบาล

 

สำหรับหุ้นกลุ่มเหล็กได้แรงหนุนราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการทุกราย เนื่องจากธรรมชาติของธุรกิจเหล็กที่จะมีสต๊อกสินค้าซึ่งยังเป็นราคาเดิม ทำให้ผลประกอบการไตรมาสแรกน่าจะออกมาดี และมีแนวโน้มจะดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากราคาเหล็กยังคงปรับขึ้นได้ต่อ 

 

ส่วนหุ้นกลุ่มการเดินเรือได้แรงหนุนจากราคาค่าระวางที่ยังคงปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง และทำจุดสูงสุดในรอบ 10 ปี ทำให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเดินเรือจะออกมาโดดเด่นเช่นกัน 

 

ขณะที่หุ้นอีกกลุ่มที่โดดเด่นในช่วงนี้คือกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะแรงหนุนจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลมีรายได้เสริมเข้ามา ทั้งในส่วนของค่าตรวจโควิด-19 การให้บริการสถานที่กักตัว รวมถึงโอกาสที่ภาครัฐจะเปิดให้นำเข้าวัคซีนทางเลือก 

 

ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา หุ้นอย่าง BCH มีกำไรสุทธิจากค่าตรวจวันละประมาณ 1 ล้านบาท จากผู้เข้าตรวจเฉลี่ย 1,300 คนต่อวัน และในไตรมาส 2 มีแนวโน้มที่จำนวนผู้เข้าตรวจรักษาจะเพิ่มขึ้นเกินเท่าตัวจากการระบาดที่มากขึ้น

 

“ในช่วงนี้นักลงทุนน่าจะเก็งกำไรในหุ้น 3 กลุ่มข้างต้นเป็นหลัก ด้วยแนวโน้มผลประกอบการที่ดีในระยะสั้น ซึ่งในบรรดา 3 กลุ่มนี้ เราชอบกลุ่มโรงพยาบาลมากที่สุด จากการที่มีสตอรีในระยะกลางจากโอกาสนำเข้าวัคซีน และระยะยาวจากการเปิดประเทศ” 

 

ส่วนหุ้นที่ปรับลงมากที่สุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มโรงแรม กลุ่มขนส่ง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาครัฐที่อาจจะเข้มข้นขึ้น ซึ่งต้องติดตามการหารืออีกครั้งในวันที่ 28 เมษายนนี้ 

 

ขณะที่หุ้นในกลุ่ม Big Cap ยังคงถูกกดดันจากการระบาดระลอกใหม่ อาทิ กลุ่มแบงก์ที่เดิมคาดว่าจะเห็นผลประกอบการฟื้นตัวดีช่วงไตรมาส 2 ก็เริ่มมีความกังวลต่อการตั้งสำรองที่มากขึ้น เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มน้ำมันที่มีความกังวลว่าดีมานด์ในตลาดโลกจะลดลง หลังจากที่หลายประเทศเริ่มมีการระบาดหนักขึ้น โดยเฉพาะอินเดียซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันอันดับ 3 ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีการติดเชื้อราว 3.5 แสนคนต่อวัน

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising