×

ลงทุน RMF-SSF ทั้งที มีนโยบายให้เลือกเยอะไหม

15.11.2023
  • LOADING...
ลงทุน RMF-SSF

ช่วงใกล้สิ้นปีมักจะเป็นเวลาที่นักลงทุนซึ่งมีเงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มองหาช่องทางการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี โดยกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เป็นสองทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ ตั้งแต่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง โดยสามารถแบ่งกลุ่มนโยบายแบบกว้างๆ ได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ คือ นโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนแบบผสม ลงทุนในหุ้น และลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก

 

นอกจากนี้นักลงทุนยังสามารถเลือกได้ว่าจะลงทุนอย่างต่อเนื่องในกองทุน RMF-SSF กองทุนใดกองทุนหนึ่งไปเลย หรือแบ่งเงินลงทุนในหลายกองทุน เพื่อให้พอร์ตลงทุนระยะยาวตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองได้ตรงใจมากขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนใจจากกองทุน RMF-SSF ที่เคยลงทุนอยู่ ไปลงทุนในกองทุน RMF-SSF ใหม่ๆ ที่มีนโยบายตรงใจก็ได้เช่นกัน 

 

อย่างไรก็ดี ในกรณีเปลี่ยนใจแบบใช้เงินก้อนใหม่ลงทุนเพิ่มในกองทุนใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนไว้ ก็เลือกได้ตามสบายว่าจะลงทุนใน RMF หรือ SSF แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนใจแบบสับเปลี่ยนเงินลงทุนจากกองทุนเดิมไปยังกองทุนใหม่ ต้องไม่ลืมว่าสับเปลี่ยนได้เฉพาะกองทุนรวมประเภทเดียวกันเท่านั้นคือ RMF สับเปลี่ยนไป RMF ส่วน SSF ก็สับเปลี่ยนไป SSF เท่านั้น ไม่สามารถสับเปลี่ยนข้ามประเภทได้

 

สำหรับนโยบายการลงทุนกองทุน RMF-SSF 4 ประเภทที่กล่าวไว้นั้นจะตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนแตกต่างกันไป โดยนโยบายแรกที่ลงทุนในตราสารหนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ เช่น อาจจะต้องการลงทุน RMF ต่อเนื่องจากที่ลงทุนไปแล้วช่วงที่ผ่านมา โดยที่มีระยะเวลาลงทุนเหลือไม่มาก ใกล้เกษียณอายุแล้ว หรือลงทุนใน SSF ได้นาน 10 ปี แต่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของหุ้น ขอเน้นรักษามูลค่าเงินเป็นหลัก นโยบายกลุ่มนี้ก็จะเหมาะสมที่สุด 

 

เพราะตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นหรือสินทรัพย์ทางเลือก ขณะเดียวกันยังเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมากขึ้นในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยของโลกยังค้างอยู่ในระดับสูง ซึ่ง SCB CIO คาดการณ์ว่า กว่าที่เราจะเริ่มเห็นธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเป็นธนาคารกลางหลักที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของทั่วโลก เริ่มปรับลดดอกเบี้ยก็น่าจะเป็นในช่วงไตรมาส 3/67 ไปแล้ว 

 

นโยบายถัดมาคือ กองทุนผสม ซึ่งลงทุนสินทรัพย์หลากหลายประเภทในกองทุนเดียว กองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูงคือ เสี่ยงกว่ากองทุนตราสารหนี้ แต่ก็ยังน้อยกว่ากองทุนหุ้น โดยผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่จัดพอร์ต ผสมผสานสินทรัพย์ต่างๆ ในกองทุนให้ ส่วนจะมีสินทรัพย์ประเภทใดในสัดส่วนเท่าไรขึ้นอยู่กับนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งกองทุนอาจจะกำหนดไว้ชัดเจนว่าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดสัดส่วนไม่ต่ำกว่าหรือไม่เกินเท่าไร หรืออาจจะกำหนดแบบยืดหยุ่นลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ได้ตั้งแต่ 0-100% ก็ได้ 

 

จุดเด่นของกองทุนผสมคือ ทำให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตลงทุนแบบเบ็ดเสร็จผ่านการลงทุนในกองทุนเดียวได้เลย โดยมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่ปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา เพียงแต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ชอบจัดพอร์ตลงทุนเอง กองทุนผสมก็อาจไม่ตรงโจทย์สักเท่าไร

 

นโยบายกลุ่มที่ 3 คือ กองทุนหุ้น ซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง จะมีการแบ่งนโยบายปลีกย่อยได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

 

  1. กองทุนที่ลงทุนในหุ้นรายประเทศ หรือภูมิภาค หรือทั่วโลก เช่น ลงทุนในหุ้นไทย หุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นจีน เป็นต้น
  2. กองทุนที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธีมเฉพาะด้าน โดยกองทุนลักษณะนี้จะเน้นคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับธีม ไม่ได้เน้นจำกัดวงอยู่ในประเทศใดหรือภูมิภาคใดเป็นหลัก เช่น ธีมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มสุขภาพ หุ้นที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน และหุ้นที่เกี่ยวกับเมกะเทรนด์โลก เป็นต้น 

 

ส่วนนโยบายกลุ่มสุดท้ายคือ กองทุนสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุนสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ น้ำมัน ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มักจะมีจุดประสงค์หลักเพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนโดยรวม เนื่องจากสินทรัพย์ทางเลือกมักจะมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้สัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับหุ้นหรือตราสารหนี้ แต่มีปัจจัยเฉพาะตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมีส่วนช่วยประคับประคองหรืออาจเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนได้ในช่วงที่สถานการณ์ส่งผลกระทบต่อมูลค่าตราสารหนี้และหุ้น 

 

ในส่วนของ SCB เราก็นำเสนอขายกองทุน RMF-SSF ค่อนข้างครอบคลุมตั้งแต่นโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงค่อนข้างต่ำไปจนถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกได้ตามโจทย์การลงทุนของตนเอง 

 

ทั้งนี้ มีข้อควรรู้ที่ต้องย้ำเตือนนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอคือ กองทุน RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปีหรือปีเว้นปี รวมทั้งต้องถือครองจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องถือครองมาอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน กำหนดให้ลงทุนเพื่อลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท 

 

ส่วน SSF ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ลงทุนเมื่อไรก็ต้องถือครองต่อไปจนครบ 10 ปี โดยนับแบบวันชนวัน โดยลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท 

 

ขณะที่ค่าลดหย่อนจาก RMF เมื่อนำมารวมกับ SSF รวมทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), ประกันบำนาญ และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้ว จะต้องไม่เกิน 5 แสนบาทด้วย

 

เมื่อทราบแล้วว่านโยบายของ RMF-SSF นั้นมีหลากหลาย และมีความเข้าใจความต้องการของตนเองว่าต้องการลงทุนใน RMF เพื่อเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ หรือลงทุน SSF เพื่อเป้าหมายการใช้เงินในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมทั้งรู้ระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ คราวนี้ท่านก็สามารถเลือกกองทุน RMF-SSF ที่มีนโยบายตรงกับความต้องการได้แล้ว 

 

ผมแนะนำว่า ท่านไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันสุดท้ายของปีแล้วจึงลงทุน RMF-SSF แต่ควรทยอยลงทุนไปก่อนระหว่างปี เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากการลืมลงทุน รวมทั้งอาจจะได้ลงทุนด้วยมูลค่าที่น่าสนใจมากกว่าด้วย โดยอาจใช้วิธี Dollar Cost Average (DCA) หรือลงทุนสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกงวด เช่น ลงทุนทุกเดือนในวันที่เงินเดือนออกหรือวันที่ที่เป็นวันเกิดก็ได้ ทั้ง RMF และ SSF 

 

การลงทุนด้วยวิธี DCA จะช่วยสร้างวินัยการลงทุน ทำให้ได้ออมก่อนใช้ ทั้งยังทำให้ไม่ต้องไปกังวลกับสภาวะตลาดที่ผันผวน ไม่ต้องกลัวว่าราคาสินทรัพย์จะขึ้นหรือจะลง เพราะกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะลงทุนในวันใด โดยไม่สนใจว่าภาวะตลาดวันนั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจาก Market Timing หรือการเลือกช่วงเวลาการลงทุนได้ ซึ่งการที่เราลงทุนอย่างสม่ำเสมอในหลายๆ ช่วงเวลา จะทำให้เราได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายระดับราคา ซึ่งเมื่อนำต้นทุนทั้งหมดมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย ก็อาจทำให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่ไม่สูงมาก

 

ส่วนท่านใดที่ยังไม่แน่ใจว่าควรลงทุนใน RMF-SSF จำนวนเท่าไร เพื่อไม่ให้เกินสิทธิลดหย่อนที่มี ก็สามารถใช้บริการ EASY Tax Planning Advisory ตัวช่วยคำนวณภาษีออนไลน์ผ่าน SCB Connect ได้เลย ซึ่งก็จะช่วยคำนวณภาษีเบื้องต้นได้ง่ายๆ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีให้ด้วย 

 

คำเตือน: 

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF / SSF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้ 
  • การลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน รวมทั้งไม่ได้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จึงมีความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน
  • เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน / หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising