×

คุยแบบไม่มีช็อตกับ เป็นต่อ จีรภัทร ศิลปินไฟแรงสูงแสนล้านโวลต์

06.04.2023
  • LOADING...
เป็นต่อ จีรภัทร พิมานพรหม

HIGHLIGHTS

10 MIN READ
  • เป็นต่อ-จีรภัทร พิมานพรหม หรือ เป็นต่อ LAZ1 เดบิวต์สู่การเป็นศิลปินเดี่ยวด้วยซิงเกิลแรกอย่าง ช็อตฟีลแรงไปไหม (Buzzkill) ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อไม่นานมานี้
  • เป็นต่อเล่าว่า การแสดงเป็นสิ่งที่น่ากลัวในตอนแรก แต่พอได้ลงมือทำก็เริ่มรู้สึกสนุกกับมันมากๆ
  • หากให้หลับตาแล้วนึกถึง LAZ1 ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาคือ หน้าของ 4 สมาชิก บุคคลที่เป็นความสบายใจในเส้นทางศิลปินของเขา
  • ตอนนี้เป็นต่อกำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนานาชาติเซี่ยงไฮ้ และตั้งเป้าไว้ว่าจะเร่งพัฒนาตัวเองในฐานะศิลปินอย่างเต็มที่

ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไฟฟ้าเกิดจากแหล่งกำเนิดได้หลากหลายวิธี โดยแต่ละวิธีจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน หากเราเปรียบเทียบไฟฟ้าเป็นพลังงานภายในบุคคล ที่มาที่ไปและจุดเริ่มต้นของแต่ละคนนั้นก็สามารถสร้างพลังงานที่แตกต่างกันได้เหมือนกัน

 

เป็นต่อ-จีรภัทร พิมานพรหม หรือ เป็นต่อ LAZ1 เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่มีพลังงานดีๆ มอบให้คนรอบตัวอยู่เสมอ และยังเป็นเจ้าของซิงเกิล ช็อตฟีลแรงไปไหม (Buzzkill) ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อไม่นานมานี้ นับเป็นการเดบิวต์ในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขาหลังเติบโตในฐานะสมาชิกวง LAZ1 มากว่า 1 ปี 

 

ช็อตฟีลแรงไปไหม (Buzzkill) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ใหญ่ของค่าย Insight Entertainment ต้นสังกัดของเป็นต่อ ที่จับมือกับ High Cloud Entertainment และได้ กอล์ฟ F.HERO มาร่วมฟีเจอริง นอกจากตัวเพลงและมิวสิกวิดีโอจะถูกทำออกมาอย่างสุดฝีมือแล้ว ยังมีการปล่อยมินิซีรีส์แนวตั้งในชื่อ ‘ช็อต’ Story ที่เล่าเรื่องราวความรักแบบช็อตๆ ในรั้วโรงเรียน เพื่อเติมเต็มคำว่า All-rounder ให้กับตัวเป็นต่อ และเพิ่มความท้าทายให้กับทีมงานเบื้องหลังอีกด้วย

 

เพื่อค้นหาแหล่งกำเนิดไฟฟ้าแรงสูงในตัวเป็นต่อ THE STANDARD POP จึงถือโอกาสชวนศิลปินเดี่ยวหน้าใหม่คนนี้มาร่วมพูดคุยปนหัวเราะไปกับหลากหลายเรื่องราว ตั้งแต่ในรั้วโรงเรียนไปจนถึงแวดวงการทำงาน ที่จะลัดวงจรหัวใจของชาวลักยิ้ม (ชื่อแฟนคลับของเป็นต่อ) และ LAZER (ชื่อแฟนคลับของ LAZ1) ได้อย่างแน่นอน

 

 

  • ‘ช็อต’ Story ของเด็กชายจีรภัทร กับความรักในรั้วโรงเรียน 

 

ในเมื่อ ‘ช็อต’ Story เป็นเรื่องความรักในรั้วโรงเรียน เลยอยากรู้ว่าตอนเด็กๆ เป็นต่อเคยมีความรักแบบ Puppy Love บ้างไหม?

 

เป็นต่อ: มีครับ แต่ต้องย้อนไปตอน ป.2 เลยนะ น่าจะเป็น Puppy Love ครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้นเด็กมาก เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแฟนคืออะไร หรือความรักคืออะไร มันแค่คุยกันไปคุยกันมาแล้วก็เป็นแฟนกันเฉยๆ เราก็แค่ทำหน้าที่แฟนในทุกๆ วันวาเลนไทน์ ด้วยการไปซื้อดอกไม้หรือของเล่นมาให้เขาแค่นั้น แต่ก็คบกันมาได้ถึง ม.1 เลยนะ (หัวเราะ)

 

มีเรื่องหนึ่งน่าจะไม่เคยเล่าที่ไหนเลย มันเป็นความคลั่งรักของเด็ก ป.5 ตอนนั้นเรานั่งเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่อง 7 สิ่งมหัศจรรย์ แล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนไปตามประสา จนครูเรียก “จีรภัทรตอบซิ 7 สิ่งมหัศจรรย์มีอะไรบ้าง?” เราก็เลยตอบชื่อแฟนเราไป (หัวเราะ) 

 

แล้วตอนนี้ความเข้าใจในเรื่องความรักของเป็นต่อเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง?

 

เป็นต่อ: ถ้าจากตอน ป.2 คงเปลี่ยนไปเยอะเลย เพราะอย่างที่บอกว่าตอนนั้นเราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเป็นแฟนต้องทำอย่างไร แค่ให้ดอกไม้กันในวันวาเลนไทน์นับว่าเป็นแฟนกันแล้วเหรอ แต่ถ้ามาถามตอนนี้ นิยามความรักของเรามันหลากหลายขึ้นมาก มันไม่ใช่แค่ว่าชอบกันเป็นแฟนกัน แต่มันมีมิติมากกว่านั้น ทั้งการเป็นห่วงเป็นใยหรือการถามไถ่ ความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นสำหรับต่อ

 

ยังเป็นคนคลั่งรักแบบเดิมไหม?

 

เป็นต่อ: คิดว่ายังเป็นคนคลั่งรักอยู่นะ แต่น้อยลงกว่าตอนเด็กๆ หรืออาจจะน้อยลงกว่า 3 เดือนที่แล้ว ด้วยความที่เราทั้งทำงานด้วยเรียนด้วย เมื่อก่อนต่ออาจให้ความรักเป็นแรงผลักดันเบอร์ต้นๆ ของชีวิต ยอมทิ้งหลายๆ อย่างเพื่อมัน แต่ตอนนี้เรามีหน้าที่ มีภาระมากขึ้น เราทำงานมากขึ้น ก็เลยโฟกัสเรื่องความรักน้อยลง จริงๆ ก็ยังมีความคลั่งรักอยู่ แค่เราเอาอย่างอื่นมาบาลานซ์มันมากขึ้น

 

มาพูดถึงชีวิตวัยเรียนบ้าง ช่วยอธิบายลักษณะนิสัยหรือความชอบของเด็กชายจีรภัทรให้ฟังหน่อย 

 

เป็นต่อ: ตอนเด็กๆ เด็กชายจีรภัทรเขาเป็นเด็กเรียบร้อยเลย เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก เวลาทำอะไรก็จะขี้กลัว ขี้ตื่นเต้นไปหมด เลยดูเหมือนว่าไม่ค่อยกล้าพูด ไม่ค่อยสนใจอะไร ความกล้าที่สุดก็คือพูดชื่อแฟนใน 7 สิ่งมหัศจรรย์นั่นแหละ (หัวเราะ)

 

แล้วความกล้าแสดงออก ความชอบในการร้องเพลงหรือทำกิจกรรม มันเริ่มขึ้นตอนไหน?

 

เป็นต่อ: ตอบยากมาก มันเหมือนกับเราถูกเกลามาเรื่อยๆ มากกว่า ไม่ได้มีจุดที่จิ้มแล้วพลิกขึ้นมาเลยว่าฉันจะเป็นคนกล้าแสดงออกนะ โชคดีที่ต่ออยู่ในสังคมที่เพื่อนคอยเชียร์อัพกันตลอด ทำให้เรารู้สึกว่าลองดูก็ได้ อย่างน้อยก็มีเพื่อนอยู่ พอเราได้เริ่มทำ เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองทำได้ วันหนึ่งเราก็มีความกล้ามากขึ้นมาเอง

 

 

ประเทศจีน เมืองเซี่ยงไฮ้ และชีวิตนักศึกษาครู

 

เป็นต่อ: จุดเริ่มต้นของการไปเรียนที่จีนของต่อเริ่มจากเราเรียนสายอังกฤษ-จีน ห้องเรียนขงจื้อ ที่โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ซึ่งเขาจะมีทุนเรียกว่า ‘ทุนขงจื้อ’ ที่จะส่งเด็กไปเรียนมหาวิทยาลัยที่จีนทุกปี โดยให้ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าหอ และไม่ต้องใช้ทุน แต่เราเลือกคณะไม่ได้ คือเราจะต้องไปเรียนคณะการสอนภาษาจีนเพื่อคนต่างชาติเท่านั้น บวกกับตอนช่วง ม.5 ต่อเคยได้ไปเรียนที่จีนประมาณ 2 สัปดาห์แล้วชอบมาก ทั้งอากาศ วิถีชีวิต หรือผู้คน มันเลยกระตุ้นความอยากมาอยู่ที่นี่ของเรามากๆ พอกลับไทยก็เลยตั้งใจไว้ว่าถ้าจบ ม.6 จะขอทุนไปเรียนที่จีนให้ได้

 

แต่พอถึง ม.6 จริงๆ มันกลายเป็นช่วงที่เขาเริ่มไม่ค่อยให้ทุนแล้ว ปกติรุ่นพี่รุ่นก่อนๆ ถ้าคะแนนผ่านเกณฑ์ มีเอกสารครบ คือจะได้ไปเรียนจีนแน่ๆ แต่ปีของต่อไม่ยอมประกาศสักที หลังจากนั้นก็เริ่มประกาศของเพื่อนว่าไม่ได้ ตอนนั้นช็อตฟีลมาก ไหนบอกว่ายื่นแล้วได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไง (หัวเราะ) จนถึงช่วง TCAS รอบที่ 4 เพื่อนๆ เริ่มได้มหาวิทยาลัยกันไปเยอะแล้ว เราก็ตัดใจแล้วว่าไม่ไปก็ได้ แต่สุดท้ายผลประกาศออกมาว่าได้เรียนที่มหาวิทยาลัยนานาชาติเซี่ยงไฮ้ก่อนที่ไทยวันเดียวเอง ก็เลยตัดสินใจไปเรียนที่นั่น

 

ชีวิตของเป็นต่อตอนไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้เป็นอย่างไรบ้าง?

 

เป็นต่อ: ชีวิตตอนไปเรียนช่วงแรกๆ ตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิมเลย อย่างที่บอกว่าเราเคยไปมาแล้ว 2 สัปดาห์ แต่ว่าตอนนั้นไม่ค่อยรู้อะไร พูดภาษาจีนก็ยังไม่ค่อยได้ พอได้ไปใช้ชีวิตจริงๆ ตอนปี 1 ทุกอย่างมันเริ่มใหม่หมด ต้องไปเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตใหม่หมดเลย

 

แต่มันก็เป็นอีกเรื่องที่น่าเสียดายนะ ด้วยความที่เราเป็นคนค่อนข้างติดบ้าน ติดห้อง เราชอบนอน เรียนเสร็จก็กลับมานอน (หัวเราะ) บวกกับที่มหาวิทยาลัยก็ค่อนข้างชิลด้วย เขาจัดตารางเรียนให้แค่ครึ่งวัน เรียนถึงเที่ยงหรือบ่ายโมงก็หมดแล้ว ตอนนั้นเราก็คิดว่ายังต้องอยู่อีกตั้ง 4 ปี เดี๋ยวค่อยไปเที่ยวก็ได้ ขอกลับมานอนก่อนแล้วกัน กว่าจะตื่นก็เย็นค่ำแล้ว ไปฟิตเนสกลับมาทำการบ้านให้เสร็จก็หมดไปแล้วชีวิตวันวันหนึ่ง จนถึงวันนี้เรายังไม่เคยไป Shanghai Disneyland เลย เศร้ามาก 

 

ตอนไปเรียนที่จีนมันจะมีการสอบแยกห้องก่อน แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจับพลัดจับผลูยังไงดันได้ไปอยู่ห้อง Pass ชั้น สามารถข้ามไปเรียนปี 3 ได้เลย แต่เราก็ตัดสินใจไม่ข้ามนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นตั้งใจมากๆ ว่าอยากเป็นครู เลยไม่อยากข้ามเนื้อหาของปี 2 ไป แล้วเราก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบเรียนให้จบด้วย ดังนั้นการอยู่ใช้ชีวิตหาประสบการณ์ที่จีนเพิ่มอีกปีหนึ่ง เรียนให้มากขึ้น มันก็ดูไม่ได้เสียหายอะไร 

 

บวกกับตอนนั้นเรามีทุนอยู่แล้ว ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติม แล้วยิ่งได้มากกว่าเดิมด้วย เพราะได้เงินเดือนทุกเดือน เราก็คิดเลยว่าเงินเดือน 1 ปีได้เท่าไรนะ แล้วถ้าเรา Pass ชั้นขึ้นไป เราจะเสียเงินเดือนตรงนี้ไปเท่าไร คิดเสร็จก็เลยเดินเข้าไปห้องพักครูเลย แล้วก็ไปบอกครูเขาว่า “ผมจะไม่ Pass ชั้นครับ” อยากอยู่นานๆ สรุปอยู่ไปได้อีกครึ่งเทอมกลับบ้าน ไม่ได้กลับไปอีกเลย (หัวเราะ)

 

เมื่อกี้เป็นต่อบอกว่าอยากเป็นครูด้วย จุดเริ่มต้นของการอยากทำอาชีพครูคืออะไร?

 

เป็นต่อ: ชีวิตต่อค่อนข้างวนเวียนกับอาชีพครู คือมีคุณป้าเป็นครู แล้วเราค่อนข้างสนิทกับเขามากๆ เลยได้อิทธิพลความอยากเป็นครูมาจากคุณป้าเยอะ เรามองว่าอาชีพนี้ดูเป็นอาชีพที่มั่นคง แล้วส่วนตัวเราไม่ชอบความเสี่ยง ความไม่มั่นคง พอไปเห็นคุณป้ารับราชการครู มีเงินเดือน มีสวัสดิการ เราเลยเริ่มมองเห็นภาพตัวเองเป็นครูมากขึ้น บวกกับพื้นฐานเราเป็นคนไม่ชอบนั่งอ่านหนังสือสอบเงียบๆ คนเดียว ชอบพูด ชอบเล่า เพื่อนก็เลยจะชอบมานั่งฟัง แล้วเพื่อนก็บอกว่าเราสอนดี ติวดีจังเลย มันเลยยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการเป็นครูให้เราไปอีก

 

จริงๆ เราก็มีความฝันแหละ ตอนเด็กๆ ฝันว่าอยากเป็นนักร้อง อยากลองไปประกวดรายการ The Star แต่พอมันเริ่มไม่เห็นหนทางตรงนั้น เราก็หันมามองความจริงมากขึ้น ต้องไปเรียนจีนแล้ว ไปเรียนครูอีก คงไม่ได้เป็นนักร้องหรอก ก็เลยมุ่งมั่นตั้งใจเลยว่าจะเป็นครูให้ได้

 

 

ตอนนี้เห็นว่าทำธีสิสอยู่ด้วย เล่ารายละเอียดของธีสิสจบให้ฟังหน่อย

 

เป็นต่อ: ตอนนี้ทำธีสิส เรื่อง อิทธิพลของสื่อบันเทิงจีนที่ส่งผลต่อการเรียนการสอนและการศึกษาวัฒนธรรมจีนของนักเรียนไทย ครับผม (หัวเราะ) ชื่อยาวมาก เพราะจริงๆ ภาษาจีนก็ยาวเหมือนกัน หัวข้อนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนครับ คือเพื่อนพูดขึ้นมาว่า อิทธิพลสื่อบันเทิงจีนมันดูน่าสนใจนะ เราก็เลยเอามาผสมให้เข้ากับสาขาที่เราเรียน โดยมาดูว่าสื่อจีนมีอิทธิพลอย่างไรกับการเลือกศึกษาภาษาจีนของคนไทย เพราะตอนนี้เราก็เห็นหลายๆ คนสนใจภาษาจีนจากการดูซีรีส์หรือติดตามศิลปินจีน เรื่องนี้เลยน่าสนใจสำหรับเราครับ 

 

ตอนนี้ธีสิสอยู่ในขั้นไหนแล้ว?

 

เป็นต่อ: จริงๆ ตอนนี้เขียนจบทั้งเล่มแล้วครับ คือที่จีนเขาจะให้ส่งเป็นเล่ม Draft ไปก่อน แล้วครูก็จะตรวจว่ามีตรงไหนผิดไหม จากนั้นเขาจะส่งฟีดแบ็กมาให้แก้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการแก้เป็น Draft 2 ครับ ใกล้จะจบแล้ว

 

มีแพลนจะกลับไปรับปริญญาที่จีนไหม?

 

เป็นต่อ: อยากกลับไปรับปริญญาที่จีนเหมือนกันครับ แต่ว่าตารางงานมันค่อนข้างกระจัดกระจาย เราเลยไม่สามารถลายาวๆ เพื่อไปรับปริญญาได้ ตอนนี้ก็อาจได้รับออนไลน์ผ่าน Zoom ไป เศร้าเนอะ (หัวเราะ) แต่มันมีอย่างนี้จริงๆ นะ เพราะก่อนหน้านี้มันกลับไม่ได้ใช่ไหมครับ เขาก็จะให้ส่งรูปไปแทน ซึ่งเราก็ทำใจแล้วว่าคงไม่ได้ไป แต่เดี๋ยวไปหารูปตัวเองที่หน้าตาดีหน่อยส่งไป (หัวเราะ) 

 

 

  • ความเป็นเด็กและโมเมนต์สำคัญใน LAZ iCON ไอคอนป๊อป ตัวท็อปเดบิวต์ 

 

จุดเริ่มต้นแรกๆ ของเป็นต่อคือรายการ LAZ iCON ไอคอนป๊อป ตัวท็อปเดบิวต์ ถ้ามองย้อนกลับไป เราเห็นอะไรหรือรู้สึกอะไรกับตัวเองตอนนั้นบ้าง?

 

เป็นต่อ: ถ้ามองจากจุดนี้กลับไป เรารู้สึกว่าตอนนั้นเราเด็กมาก เราเหมือนเด็กเพิ่งเริ่มเข้าวงการ ทั้งๆ ที่เราเข้าบริษัทมาสักพักหนึ่งแล้ว เทรนด์มาได้เป็นปีแล้ว แต่พอเข้าไปอยู่ในรายการจริงๆ เราค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่ค่อยคิดเยอะ โฟกัสแต่สิ่งที่ตัวเองจะทำหรืออยากจะทำ พูดในสิ่งที่อยากจะพูด ไม่ได้มองหน้ามองหลังมากเท่าไร พอมองกลับไปรู้สึกว่าเราดูสุดโต่งไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้แย่นะ มันยังคงเป็นความสุขในช่วงวัยเด็กแหละ (หัวเราะ) แม้ว่าตอนนี้เรายังไม่ได้โตมากขนาดนั้นก็ตาม

 

เป็นต่อชอบโมเมนต์หรือสเตจไหนระหว่างแข่งมากที่สุด?

 

เป็นต่อ: ชอบโมเมนต์ตอนเต้นเพลง ที่หนึ่งในใจของเธอ (Last One) ในวันเดบิวต์ครับ ตอนแรกจะตอบว่าสเตจงาน LAZADA 11.11 ที่เราได้เป็นเซ็นเตอร์ แล้วก็ได้เต้นเพลงนี้แบบครบทุกคนเป็นครั้งแรก แต่พอมองย้อนกลับไปตัวเราในวันนั้นมันมีความไม่พร้อมอยู่เยอะ ทำให้สุขได้ไม่สุดเท่าไร เลยขอเลือกสเตจวันเดบิวต์แทน เพราะเราได้เต้นพร้อมกันทุกคนยกเว้นพี่ต้าห์อู๋ที่ติดโควิด จำได้ว่าตอนนั้นต้องเว้นบล็อกกิ้งไว้ให้ด้วย (หัวเราะ)

 

 

  • นักแสดงมือใหม่ ใครในกระจก และความเหมาะเจาะของบท ‘ดาร์วิน’

 

นอกจากการเป็นศิลปิน เรากำลังจะได้เห็นเป็นต่อในฐานะนักแสดงด้วย ช่วยอธิบายความแตกต่างของสองอาชีพนี้ให้ฟังหน่อย

 

เป็นต่อ: การทำงานมันต่างกันครับ เวลาขึ้นคอนเสิร์ตในฐานะศิลปินมันคือการไปสนุกกับสเตจตรงหน้า แสดงความเป็นตัวเองออกมาให้เต็มที่ แล้วพยายามปล่อยพลังไปถึงคนดูให้ได้มากที่สุด ขณะที่การทำงานในฐานะนักแสดงมันละเอียดอ่อนและยากกว่ามาก การแสดงมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องคำนึงถึงเยอะ แค่เราขยับนิดหนึ่งมันก็เป็นแอ็กชันไปหมดแล้ว 

 

อีกอย่างการไปเป็นตัวละครมันก็ต่างกับการที่เราเป็นตัวเองบนสเตจด้วย ในการแสดงเราต้องคิดตามสิ่งที่ตัวละครเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราเองเป็น ซึ่งมันค่อนข้างยากสำหรับต่อมากๆ แต่พอเริ่มทำไปมันสนุกดี ตอนนี้รับรู้ถึงความสนุกของการแสดงแล้ว รู้สึกอยากไปแสดง อยากทำงานในพาร์ตของการแสดงมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

เป็นต่อกดดันกับการเป็นนักแสดงบ้างไหม?

 

เป็นต่อ: เรียกว่ากลัวดีกว่า อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนขี้กลัว อะไรที่ยังไม่เคยทำก็จะตื่นเต้น แล้วก็กลัวไปหมด ครั้งแรกที่นั่งอ่านบทเราเครียดมากว่าจะทำได้ไหม มันจะออกมาเป็นยังไงนะ แต่พอเราเริ่มเข้าใจวิธีการแสดงและวิธีการทำงานในกองถ่ายมากขึ้น ตัวเราเองก็เริ่มรีแลกซ์ สามารถทิ้งความกังวล แล้วไปจับความสนุกในกองได้มากขึ้น

 

พูดถึงบทบาทแรกอย่าง ‘ดาร์วิน’ จาก ใครในกระจก ที่เพิ่งปิดกล้องไปบ้าง ทำไมเราจับพลัดจับผลูมาเล่นบทนี้ได้

 

เป็นต่อ: เริ่มจากเรามีโอกาสได้ไปแคสต์บท ‘อลัน’ ในซีรีส์เรื่องนี้ ก่อนวันที่จะไปแคสต์เราก็ได้บทแบบย่อมาอ่าน ซึ่งเป็นฉากที่อลันต้องเข้ากับ ‘ดาร์วิน’ พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเราคลิกกับดาร์วินมากกว่า ก็เลยทักไปขอพี่ๆ เบื้องหลังว่าขอแคสต์เป็นดาร์วินด้วยได้ไหม พี่เขาก็บอกว่าน่าจะได้ อาจจะได้แคสต์ทั้งสองตัวเลย

 

พอถึงวันที่ต้องไปแคสต์ เรามีงานตอนเช้า ก็เลยไปถึงทีหลังเกือบคนสุดท้าย ซึ่งวันนั้นมีพี่ตั้ว (เสฎฐวุฒิ อนุสิทธิ์) ไปแคสต์เป็นบทอลันเหมือนกัน ตอนแรกพี่เขาจะกลับไปแล้ว แต่ยังไงไม่รู้ สุดท้ายเขาอยู่รอเข้าคู่กับเรา วันนั้นก็เลยเป็นวันแรกที่เจอพี่ตั้วแล้วก็ไปแคสต์ด้วยกัน ครั้งแรกต่อเริ่มเล่นเป็นบทดาร์วินก่อน เพราะเราเกรงใจพี่ตั้ว แต่พอสลับไปเล่นบทอลันก็ยังรู้สึกชอบบทดาร์วินมากกว่า จนสุดท้ายก็ได้เล่นคู่กับพี่ตั้วในบทดาร์วินครับ

 

ได้ทำงานร่วมกับ ตั้ว-เสฎฐวุฒิ อนุสิทธิ์ เป็นอย่างไรบ้าง?

 

เป็นต่อ: พี่ตั้วเป็นคนเก่งมาก ยิ่งทำงานด้วยกันไปเรื่อยๆ มันยิ่งตอกย้ำว่าพี่ตั้วเป็นคนเก่งแค่ไหน เขาทำการบ้านดีมาก ช่วยเราเยอะมาก โทรมาชวนเราอ่านบท ต่อบทตลอด แม้ว่ามันจะดึกแล้วก็ตาม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรามั่นใจกับการทำงานมากขึ้น และมองเห็นภาพของการแสดงเป็นอันเดียวกัน ส่วนในเรื่องการทำงาน การวางตัว เขาจะค่อนข้างเป็นคนเจ้าระเบียบ ส่วนตัวต่อไม่ค่อยโดนพี่เขาดุหรอกนะ (หัวเราะ) ในขณะเดียวกันต่อก็ได้เรียนรู้อะไรจากพี่ตั้วเยอะมาก

 

 

  • การได้เป็นส่วนหนึ่งของ LAZ1 นามสกุลที่สร้างความพิเศษในทุกวัน

 

คิดว่าเป็นต่อน่าจะตอบคำถามเรื่องวงไปเยอะมากๆ แล้ว แต่ถ้าให้ลองหลับตาแล้วนึกถึงคำว่า ‘LAZ1’ ภาพแรกที่จะเด้งขึ้นมาในหัวคือภาพอะไร

 

เป็นต่อ: หน้าของสมาชิก 

 

ทำไมถึงเป็นภาพนี้?

 

เป็นต่อ: พอพูดว่า LAZ1 มันเหมือนกับว่าเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเยอะ ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปี แต่เราผ่านเรื่องราวด้วยกันมาเยอะมาก ตั้งแต่สีผมที่กัดสีเปลี่ยนสีกันมา จนพอพูดถึง LAZ1 มันก็คือเจ้าพวกนี้ มันก็คือเพื่อนๆ ของเรา เมื่อกี้พอหลับตาแล้วได้ยินคำว่า LAZ1 หน้าเพื่อนๆ ก็ขึ้นมาเลย 4 คนเรียงกัน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นคำว่า LAZ1 สำหรับต่อก็คือพวกเราทั้ง 5 คน 

 

ถ้าอย่างนั้นความพิเศษของการได้เป็น LAZ1 คืออะไร?

 

เป็นต่อ: เราคิดว่ามันเป็นอีกหนึ่งจังหวะชีวิตที่โชคดีมากๆ มันดีมากๆ ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งใน LAZ1 ทุกอย่างมันพิเศษไปหมด แค่การได้เป็น LAZ1 มันก็พิเศษมากๆ แล้วสำหรับต่อ เราไม่รู้เลยว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้เดบิวต์กับวงนี้ ชีวิตเราจะไปอยู่ตรงไหนหรือทำอะไรต่อ เพราะฉะนั้นการได้มาอยู่ตรงนี้และได้เติบโตไปพร้อมๆ กับเพื่อนทั้ง 4 คน รวมถึงทุกคนที่คอยซัพพอร์ตและดูแลเรามาตลอด ทั้งพี่ๆ เบื้องหลัง ทีมงาน และแฟนคลับ มันคือการเติบโตที่พิเศษในทุกวันเลยครับ

 

LAZ1 เพิ่งมีคอนเสิร์ต “ONCE” LAZ1 GOODBYE PARTY ไป และคุณแม่ของเป็นต่อก็ได้มาดูด้วย คุณแม่พูดอะไรกับเราบ้างไหม?

 

เป็นต่อ: คุณแม่บอกว่า “ตอนแรกว่าจะไม่ร้องไห้แล้ว เนี่ย! พอพูดถึงแม่ แม่ร้องไห้เลย” ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่ขึ้นมาออดิชันที่กรุงเทพฯ ต่อมาเองคนเดียวตลอด ขนาดวันที่มาเซ็นสัญญายังมาคนเดียวเลย ที่บ้านสนับสนุนตลอดนะครับ แต่แค่ไม่ได้บินขึ้นมากับเราด้วย ดังนั้นวันที่เรามาแข่งรายการ LAZ iCON วันที่เรามี Debute Show Case ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ก็ไม่ได้มีครอบครัวขึ้นมาดู จนไปงานต่างๆ ก็ยังไม่มีโอกาสที่ครอบครัวจะตามขึ้นมา แล้วเราก็ยังไม่มีโอกาสลงไปทำงานที่บ้านที่ภูเก็ตด้วย

 

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาแม่ชอบมาก ติดตามมาตลอดจริงๆ เขาเป็นหนึ่งในลักยิ้มกับ LAZER ใน Twitter เลยนะ เพราะฉะนั้นเราเลยอยากให้แม่มาเห็นเราในฐานะ LAZ1 ได้มาเห็นกับตาว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ท่ามกลางคนที่รักเรามากมายขนาดไหน

 

พองานนี้มาถึงก็ตั้งใจเลยว่าอยากให้แม่มาดู ตอนนั้นไม่ได้ถามด้วยว่าแม่อยากมาดูไหม แต่ว่าเราก็อยากให้เขามาดู เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะมีคอนเสิร์ตแบบนี้อีกเมื่อไร แล้วเราจะได้ขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ในฐานะ LAZ1 อีกไหม พอได้บัตรมาก็ชวนเลย “แม่มาไหม?” ตอนนั้นจองตั๋วเครื่องบินที่พักไปหมดแล้วด้วยนะ เหลือแค่แม่ขึ้นมาอย่างเดียว (หัวเราะ) แม่ก็เลยขึ้นมากับพี่สาวครับ ซึ่งเป็นครั้งแรกในฐานะ LAZ1 ด้วยที่แม่ได้มานั่งดูโชว์ ดูคอนเสิร์ตของลูกตัวเอง

 

 

หลังคอนเสิร์ตจบไป LAZ1 เพิ่งได้รับรางวัล Best Male Group จาก TOTY MUSIC AWARD 2022 ก่อนจะไปรับรางวัลมีความรู้สึกแบบไหนเกิดขึ้นบ้าง?

 

เป็นต่อ: ตื่นเต้นครับ เราตื่นเต้นจากการที่เห็นแฟนคลับตื่นเต้นมาก เราเป็นคนมอนิเตอร์โซเชียลอยู่แล้ว ก็เลยเห็นความเคลื่อนไหวที่แฟนคลับทำให้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นการสตรีม การโหวต หรือกิจกรรมต่างๆ มันเห็นกระบวนการตรงนั้นมาตลอด จนถึงวันจริงก็เลยตื่นเต้นมากๆ คิดอยู่ในใจตลอดว่าช่วยประกาศเป็นชื่อเราได้ไหม แล้วพอพิธีกรพูดว่า “ไม่ตอบเลยนะ” ปุ๊บ เรากรี๊ดเลย

 

มันเป็นรางวัลที่เราขึ้นไปรับครั้งแรกพร้อมกันทั้ง 5 คน คนที่ตื่นเต้นที่สุดน่าจะเป็นพี่ต้าห์อู๋ เพราะเราคุยกันว่า ถ้าขึ้นไปนะพี่อู๋จะต้องเป็นคนพูดสปีช แล้วสปีชนี้จะต้องเป็นสปีชระดับโลกนะ (หัวเราะ) พี่อู๋ก็เครียดเลยว่าควรจะพูดอะไรดี นั่งจดในโทรศัพท์เลยว่าถ้าได้ขึ้นไปจะพูดอะไร สรุปพอขึ้นไปตื่นเต้นมาก ไม่ได้พูดอะไรตามที่จดเลย พี่อู๋คือเสียอาการสุดๆ แล้วตอนนั้น 

 

ด้วยความที่ในงานมีศิลปินที่เราติดตามอยู่เยอะมากๆ แล้วทันทีที่เขาประกาศชื่อ LAZ1 เราต้องเดินออกไปท่ามกลางผู้คน มีกล้องจับที่ตัวเรา มันยิ่งใหญ่จนไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงดี เราเคยดูงานประกาศรางวัลมา งานที่ทุกคนเดินขึ้นไปจับถ้วยรางวัลแล้วก็ยืนพูด พอได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีเอง ทำให้รู้เลยว่ามันเป็นโมเมนต์แบบนี้นี่เอง โมเมนต์ที่มีแสงไฟสาดเข้ามาตรงหน้า มีคนปรบมือให้ มันยิ่งใหญ่มากๆ เลยนะ สำหรับชีวิตเราที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกมากน้อยแค่ไหน

 

รางวัลนี้ช่วยผลักดันหรือเติมเต็มอะไรในตัวเราได้บ้าง?

 

เป็นต่อ: รางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งผลตอบแทนของความทุ่มเทและตั้งใจที่เรามี จริงๆ เราทุ่มเทและตั้งใจกับทุกผลงานของเรามากๆ อยู่แล้ว แต่ผลงานชิ้นนี้มันมาตอบรับว่าสิ่งที่พวกแกตั้งใจทำ สิ่งที่พวกแกทุ่มเท สิ่งที่ทั้ง 5 คน พี่ๆ เบื้องหลัง ตั้งใจทำกันมา มันมีคนชอบ มีคนเห็น และได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงแล้ว

 

จนวันนี้ได้มาเป็นศิลปินอย่างที่ฝันไว้แล้ว เรายังมองหาความมั่นคงแบบเดิมอยู่ไหม? 

 

เป็นต่อ: เราคิดเรื่องความมั่นคงมาตลอดเหมือนกัน ด้วยอาชีพในวงการบันเทิงมันไม่ได้ดูมั่นคงขนาดนั้น แต่เพราะเรายังชอบและมีความสุขที่ได้ทำตรงนี้ แล้วก็รู้สึกว่าคนอื่นก็ยังคงมีความสุขกับการที่เราอยู่ตรงนี้เหมือนกัน เราเลยอยากทำอาชีพนี้ไปเรื่อยๆ ถามว่าเรายังคงมองหาความมั่นคงให้ชีวิตอยู่ไหม ก็ยังคงมองหาอยู่ แต่มันคงเปลี่ยนจากการมุ่งสู่ระบบข้าราชการไปเป็นการทำธุรกิจในด้านที่เราถนัดมากกว่า ที่แอบคิดไว้อาจจะเป็นการเปิดสถาบันสอนภาษาจีนกับเพื่อนที่ไปเรียนที่จีนมาเหมือนกัน ถ้ามันถึงจุดที่เหมาะสมหรือสามารถบาลานซ์ชีวิตตัวเองได้มากกว่านี้ ก็อาจหันไปมองหาสิ่งนี้เพิ่มเติม

 

 

ช็อตฟีลแรงไปไหม (Buzzkill) จุดเริ่มต้นในฐานะศิลปินเดี่ยวหน้าใหม่ไฟแรงสูง

 

เป็นต่อ: โปรเจกต์นี้เกิดจากไอเดียของพี่ผู้จัดการที่บริษัท เขารู้สึกว่าถึง LAZ1 จะหมดสัญญาไปแล้ว แต่ก็ยังอยากให้คนเห็นเป็นต่อในฐานะศิลปินอยู่ แน่นอนว่าเรามีแพลนในส่วนของนักแสดงอยู่แล้ว ยังไงคนก็จะได้เห็นเราในฐานะนักแสดงแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้เห็นเราในพาร์ตศิลปินอีกไหม ทีมงานก็เลยทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา เพื่อคีพความเป็นศิลปินของเราเอาไว้ พอดีกับช่วงที่บริษัท Insight Entertainment กำลังสานสัมพันธ์กับ High Cloud Entertainment ของพี่กอล์ฟ F.HERO ซึ่งคุยกันไปกันมา ทาง High Cloud ก็เสนอเพลงนี้มาให้ 

 

ตอนได้ฟังเดโม่ครั้งแรกก็ชอบเลย เพลงนี้มันเก๋นะ มันดูมีอะไร จนสรุปออกมาเป็นเพลง ช็อตฟีลแรงไปไหม (Buzzkill) ที่ พี่เบนซ์-วรเชษฏฐ์ ฐานุพงศ์ชรัช (bnz) กับ พี่อรัณย์ หนองพล เป็นคนเขียนเนื้อร้อง แล้วก็ได้พี่เอ้ BOTCASH เป็นโปรดิวเซอร์ด้วยครับ ตอนแรกเราได้ร้องคนเดียวแหละ แต่ทางผู้ใหญ่เขาอยากให้พี่กอล์ฟมาฟีเจอริงให้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพี่เขาจะว่างมาทำให้เราหรือเปล่า แต่สุดท้ายพี่กอล์ฟก็มาทำให้ เราดีใจมาก เป็นเกียรติมากๆ ที่ได้ทำงานกับตัวแด๊ด ตัวพ่อแบบนี้

 

ช่วยเล่าพาร์ตของการทำงานให้ฟังหน่อย

 

เป็นต่อ: ในพาร์ตของการทำงาน ทุกคนไนซ์กับเราหมดเลย ตั้งแต่พี่กอล์ฟ, พี่เอ้, พี่เบนซ์, พี่อรัณย์ ทุกคนน่ารักกับต่อมาก แต่หลักๆ คนที่ดูแลเราก็คือครูพี (ประพฤติ ทองธานี) ที่คอยช่วยดีไซน์การร้องและคอยช่วยแก้ปัญหาให้ จริงๆ แล้วเพลงนี้มันยากกับต่อนะ ด้วยความที่เพลงมันค่อนข้างเท่ แล้วเราติดวิธีการร้องเสียงหวาน ดังนั้นมันต้องปรับการร้องให้กระชับและเท่ขึ้น รวมถึงพี่เอ้ด้วยที่คอยแนะนำระหว่างการอัด จนออกมาเป็นเพลงนี้ที่ถูกใจเรามากๆ

 

การทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวกับการทำงานในฐานะ LAZ1 ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไร?

 

เป็นต่อ: ตอนทำงานกับเพื่อนมันวุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีความเบาใจ เพื่อนๆ เป็นเซฟโซนของเราในการทำงาน ต่างคนต่างรู้ว่าใครทำอะไรได้หรือไม่ได้ ดังนั้นเวลาอยู่ด้วยกันมันเลยมีคนคอยเติมเต็มในส่วนที่อีกคนขาดอยู่ตลอด แต่พอมาทำงานคนเดียว อย่างแรกคือเงียบ มันมีแค่ตัวเราเองที่เป็นศิลปินและทีมเบื้องหลัง ที่เหลือก็จะมีแค่เราเท่านั้นที่เป็นตัวหลัก ถึงทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ (หัวเราะ) แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถเราขนาดนั้นนะ เพราะเรามีทีมงานหลายๆ คนคอยซัพพอร์ตอยู่

 

การเป็นศิลปินเดี่ยวสร้างความกังวลให้เราบ้างไหม?

 

เป็นต่อ: ตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องที่กังวลมากขนาดนั้น เพราะสิ่งที่เราเคยกังวลมันได้รับการแก้ไขไปแล้ว อย่างเช่น เราเป็นคนที่ร้องแอดลิบไม่เก่ง มันเคยมีปัญหาตรงนี้ไปแล้วตอนที่อัดเพลง และมันก็ได้รับการแก้ไขไปแล้ว ส่วนปัญหาอย่างอื่นก็ได้รับการแก้ไขไปเรื่อยๆ แล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลมาก แค่เราต้องเรียนรู้และเติบโตไปเรื่อยๆ แต่พรุ่งนี้อาจจะมีก็ได้ (ยิ้ม)

 

ถ้าพูดถึงเรื่อง ‘ช็อตฟีล’ เคยมีเหตุการณ์ที่ถูกช็อตฟีลหนักๆ บ้างไหม?

 

เป็นต่อ: เจอทุกวันอยู่แล้ว แต่ว่าเราไปช็อตคนอื่นนะ (หัวเราะ) โดยพื้นฐานเดี๋ยวนี้นะ ใช้คำว่าเดี๋ยวนี้ เราจะชอบหะ หะ ตลอดเวลา ถ้ามีอะไรให้รู้สึกเอ๊ะหรือสงสัยในใจก็จะช็อตเลย ทุกวันนี้เลยไม่ค่อยมีใครมาช็อตเราเท่าไร มีแต่เราไปช็อตเขา (หัวเราะ)

 

นอกจากเรื่องช็อต อีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นในผลงานชิ้นนี้คือคำว่า All-rounder เป็นต่อรู้สึกกับคำนี้อย่างไร?

 

เป็นต่อ: เรารู้สึกว่าคำนี้มันหนักอึ้งมาก เราคงทำได้ในระดับหนึ่งของคำนี้แล้วแหละ แต่มันแค่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของคำว่า All-rounder ในหลอดนี้มันอยู่ตรงไหน เราเดินมาจนถึงจุดหนึ่งของคำนี้แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เราร้อง เราเต้น เราแสดง แล้วเราต้องทำอะไรอีก พอใช้คำว่า All คือทั้งหมดใช่ไหมครับ แล้วขอบเขตของคำว่าทั้งหมดคืออะไร ดังนั้นเราเลยต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ในหลายๆ ด้าน อย่างเช่น พิธีกร ก็ยังไม่เคยลองนะ ก็น่าสนใจอยู่

 

 

เป้าหมายในอนาคตของศิลปิน PentorJrp

 

เป็นต่อ: เคยคิดเหมือนกันครับว่าถ้ามีโอกาสได้ทำซิงเกิลถัดไปคงอยากทำเพลงช้า เพราะส่วนตัวต่อถนัดร้องเพลงช้า วิธีการร้องของเราค่อนข้างติดการร้องเพลงแบบเพลงช้า แล้วเราเป็นคนชอบเสพเพลงรัก เพลงอกหัก เพลงเศร้า เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสทำอีกซิงเกิลคงอยากทำเพลงที่ถูกจริตเราและถูกจริตชาวบ้านชาวช่อง เอาให้น้ำตาท่วมโลกกันไปเลย!

 

จนถึงตอนนี้แฟนๆ คงได้เห็นหลายอย่างในตัวเราแล้ว คิดว่ามีเรื่องอะไรที่คนไม่ค่อยรู้และอยากให้พวกเขารู้เกี่ยวกับเราอีกไหม?

 

เป็นต่อ: ส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างเปิดเผยในระดับหนึ่ง เราไม่ได้เป็นคนซับซ้อนอะไรมากขนาดนั้น เราคิดยังไง เป็นยังไง แฟนคลับค่อนข้างเห็นไปหมดแล้ว 

 

ถ้ามุมที่คนยังไม่ค่อยรู้คงจะเป็นมุมขี้เกียจมั้งครับ จริงๆ แล้วต่อเป็นคนขี้เกียจแหละ ยิ่งช่วงนี้เราโฟกัสกับการทำงาน เรื่องอื่นๆ ก็ค่อนข้างที่จะปล่อยปละละเลย ต่อเป็นคนขี้เกียจทำอะไรที่มันวุ่นวาย ยุ่งยาก หรือว่าหลายรอบ ซึ่งมันส่งผลกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตมาก แต่ในเรื่องของการทำงานไม่ได้ขี้เกียจนะ ไม่ได้ขี้เกียจทำงานนะครับ สามารถจ้างได้ (หัวเราะ) 

 

หลังจากนี้วางเป้าหมายการเป็นศิลปินของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง?

 

เป็นต่อ: จริงๆ แล้วเราตั้งเป้าไว้ว่า อยากพัฒนาไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องของการร้อง การเต้น การแรป และการแสดง เพราะเรายังไม่รู้สึกว่าตัวเองเก่งเลยสักด้านหนึ่ง เรารู้สึกว่ามันยังมีพื้นที่อีกเยอะมากๆ ที่จะต้องพัฒนาไปให้ถึง ส่วนเป้าหมายแรกในตอนนี้คือเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็คงหาเวลาไปเรียนร้องเพลงหรือพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ของชีวิตมากขึ้นครับ

 

ชมมิวสิกวิดีโอเพลง ช็อตฟีลแรงไปไหม (Buzzkill) ได้ที่:

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising