×

ทำไมการผ่านร่างกฎหมาย Inflation Reduction Act จึงสำคัญกับสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ และโลกของเรา

10.08.2022
  • LOADING...
Inflation Reduction Act

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม วุฒิสภาสหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมาย Inflation Reduction Act มูลค่า 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโลกรวน ขณะที่หลายฝ่ายจับตาว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะมีมติให้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ในการลงคะแนนเสียงที่จะมีขึ้นในวันศุกร์นี้

 

แต่หากการคาดการณ์ไม่พลิกโผ ร่างกฎหมายนี้จะผ่านความเห็นชอบจากสภา ก่อนที่จะถูกส่งต่อให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนามรับรองเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายฉบับใหม่ของประเทศต่อไป ซึ่งจะปูทางสู่การลดการปล่อยคาร์บอนของสหรัฐฯ หนึ่งในชาติที่มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดในโลก อีกทั้งยังจะพลิกโฉมบรรยากาศการเจรจาประเด็นสภาพภูมิอากาศบนเวทีโลกอีกด้วย

 

Inflation Reduction Act คืออะไร

  • ร่างกฎหมาย Inflation Reduction Act ถือเป็นการลงทุนด้านพลังงานสะอาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกรวน โดยเน้นที่การลดการปล่อยคาร์บอน และปูทางให้ผู้บริโภคหันมาใช้พลังงานสะอาด 

 

  • ร่างกฎหมายดังกล่าวยังช่วยลดต้นทุนด้านยารักษาโรคให้กับผู้บริโภคในประเทศ และจะมีการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลบางประเภทด้วย

 

  • เป้าหมายของ Inflation Reduction Act นั้นก็ตรงตามชื่อ ซึ่งก็คือการปรับลดเงินเฟ้อในประเทศ โดย Moody’s Investors Service และ Fitch Ratings คาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายนี้จะช่วยปรับลดเงินเฟ้อในระยะกลางและระยะยาว แต่อาจยังไม่สามารถช่วยลดเงินเฟ้อในระยะสั้นช่วง 1-2 ปีนี้ได้

 

ชาวอเมริกันได้อะไรจากการที่ไบเดนทุ่มงบหนุนพลังงานสะอาด-แก้วิกฤตโลกรวน

  • อย่างที่เกริ่นไปเบื้องต้นว่า ร่างกฎหมายนี้มีงบประมาณรวมสูงถึง 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นงบประมาณต่อสู้วิกฤตโลกรวนถึง 3.7 แสนล้านดอลลาร์เลยทีเดียว ส่งผลให้ Inflation Reduction Act เป็นร่างกฎหมายที่ออกมาเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกรวน ที่ใช้งบประมาณสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ

 

  • ร่างกฎหมายนี้จะไม่เน้นออกบทลงโทษแก่ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ในประเทศ แต่จะเน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ลด-ละ-เลิก ใช้พลังงานฟอสซิล อาทิ รัฐจะมอบเครดิตภาษีให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ปรับธุรกิจมาใช้พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น

 

  • นอกจากนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะมอบเครดิตภาษีสูงถึง 7,500 ดอลลาร์ให้กับชาวอเมริกันที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 

 

  • ผู้ที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐถึง 30% ส่วนครัวเรือนที่ติดตั้งฮีตปั๊มรุ่นใหม่ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งความร้อนและความเย็น จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 8,000 ดอลลาร์

 

  • สถาบันวิจัย Rewiring America ประมาณการว่า ครัวเรือนที่ติดตั้งฮีตปั๊มและแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงใช้รถยนต์ไฟฟ้า จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง 1,800 ดอลลาร์ต่อปี

 

  • งบประมาณราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์จะถูกจัดสรรให้กับอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานสะอาด ตั้งแต่กลุ่มกังหันลมไปจนถึงการแปรรูปแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่รถ EV

 

  • ขณะเดียวกันจะมีการจัดสรรงบประมาณอีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนในชุมชนผู้ด้อยโอกาส เช่น การให้เงินช่วยเหลือเพื่อปรับปรุงบ้านพักให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และการเข้าถึงรูปแบบการคมนาคมที่ปล่อยมลพิษน้อยลง

 

  • นอกจากนี้ยังมีการแบ่งงบประมาณสำหรับแนวทางป้องกันไฟป่า ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากคลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมภูมิภาค รวมถึงงบประมาณสำหรับปกป้องพื้นที่แนวชายฝั่งจากการกัดเซาะของเฮอริเคน แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวเป็นผลพวงจากวิกฤตโลกรวนด้วยเช่นกัน

 

  • นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนไปสู่พลังงานสะอาดจะช่วยสร้างงานให้ชาวอเมริกันมากถึง 1.4-1.5 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030 เลยทีเดียว

 

โลกได้อะไรจากร่างกฎหมายนี้

  • เป็นที่ทราบกันดีว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่หาก Inflation Reduction Act ถูกบังคับใช้เป็นกฎหมายของประเทศ ก็คาดว่าจะช่วยหนุนให้สหรัฐฯ เดินทางถึงเป้าหมายการปรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% จากระดับของปี 2005 ให้สำเร็จภายในปี 2030 ตามความตั้งใจของไบเดนที่พาสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ความตกลงปารีสอีกครั้ง

 

  • เป้าหมายหลักที่นานาชาติได้ตกลงกันไว้ในความตกลงปารีสเมื่อปี 2015 คือ การคงอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และมุ่งไปสู่เป้าหมายใหญ่คือ จำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันไม่ให้โลกของเราเผชิญกับภัยพิบัติรุนแรง อันเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

 

  • นอกจากนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศที่จะแก้วิกฤตสภาพอากาศอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้สหรัฐฯ ในการเจรจาเกี่ยวกับประเด็นโลกรวนบนเวทีโลกในอนาคต

 

  • อีกทั้งยังอาจช่วยโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ ร่วมดำเนินการไปด้วยกันได้ อาทิ จีน คู่แข่งรายสำคัญของสหรัฐฯ และยังเป็นชาติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในโลก

 

แม้ (อาจ) ผ่านความเห็นชอบจากสภา แต่หนทางข้างหน้ายังท้าทาย

  • ในอีกมุมหนึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า หนทางที่สหรัฐฯ จะปรับสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบนั้นยังคงมีความท้าทายสูงมาก

 

  • ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า เป็นไปได้ยากที่สหรัฐฯ จะไปถึงเป้าหมายตามที่ให้สัญญาไว้ในความตกลงปารีส หากปราศจากนโยบายของฝ่ายบริหาร นโยบายของรัฐ และนโยบายระดับท้องถิ่นที่ส่งเสริมกัน

 

  • นอกจากนี้การที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 สหรัฐฯ ยังมีงานใหญ่ที่ต้องทำอีกมาก เช่น การสร้างระบบส่งไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับโครงการไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

 

  • ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังต้องเร่งสร้างเครือข่ายที่สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ เช่น ไฮโดรเจนสีเขียว พลังงานนิวเคลียร์ รวมถึงการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน ตลอดจนการยกเครื่องระบบคมนาคมและอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหมด

 

  • นักวิเคราะห์มองว่า ทางเลือกเทคโนโลยีที่มีในประเทศยังค่อนข้างมีจำกัด ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการทรัพยากรบุคคลที่สามารถออกแบบ สนับสนุนเงินทุน และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดแห่งอนาคตได้มากกว่านี้ 

 

  • ขณะเดียวกันรัฐบาลยังต้องเอาชนะอุปสรรคในการผลักดันการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งมักเผชิญกับกระแสต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ที่หวั่นเจอผลกระทบในเชิงลบต่อชุมชนของตน

 

ภาพ: Kent Nishimura / Los Angeles Times via Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising