×

จินตนาการประเทศไทยในอนาคต

15.01.2024
  • LOADING...
ประเทศไทยในอนาคต

ในระยะหลังๆ ผมสนใจเรื่องของ ‘การเติบโต’ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ‘การถดถอย’ หรือ ‘การลดลง’ ของจำนวนประชากรของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศไทย เหตุผลก็เพราะผมพบว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะอิงกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของประเทศ จริงอยู่ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นนอกจากเรื่องของจำนวนประชากรแล้ว ก็ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของคนที่อาจจะสามารถผลิตได้มากขึ้น หรือการเพิ่ม ‘ผลิตภาพ’ ของประชากรด้วย แต่ประเด็นก็คือ การเพิ่มผลิตภาพนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าการเพิ่มคนมากในทางปฏิบัติ

 

ย้อนหลังไปประมาณ 55 ปี คือปี 2511 เมื่อตอนผมอายุ 15 ปี ในช่วงกำลังเข้าเรียนมัธยมปลายและเริ่มจะเข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว ประเทศไทยในช่วงเวลานั้นกำลัง ‘เจริญ’ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ถนนหนทางเริ่มมีมากขึ้น ถนนเพชรบุรีเพิ่งจะตัดใหม่ และเป็นแหล่งอาบอบนวดที่คนหนุ่มที่เริ่มทำงานที่มีมากขึ้นและเริ่มจะมีเงินมาเที่ยวในยามค่ำคืน ถนนสีลมเริ่มเป็นแหล่งที่มีธุรกิจมาสร้างอาคารสำนักงานเป็นย่านธุรกิจใหม่ ‘เซ็นทรัล สีลม’ กลายเป็นห้างทันสมัยโดดเด่นและ ‘คนรวย’ เริ่มมาซื้อของ 

 

อย่างไรก็ตาม ถนนสาทรก็ยังดูเป็นธรรมชาติ มีคลองดินอยู่กลางสาทรเหนือและใต้ ข้างคลองเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น เป็นเส้นทางที่ผมโหนรถเมล์ที่แน่นเป็นปลากระป๋องไปเรียนทุกวัน

 

ในวันนั้นประชากรคนไทยมีจำนวนประมาณ 33 ล้านคน และแต่ละปีน่าจะมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 1 ล้านคน กรุงเทพฯ เริ่มจะมีรถติดและหนักมากในเวลาต่อมา ผมยังจำได้ว่า Bob Hope ศิลปินตลกชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน มาเอ็นเตอร์เทนทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพใหญ่โตในไทยเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม Bob Hope ยิงมุกที่เป็นอมตะมากว่า  ไม่ต้องกลัวว่าเวียดนามจะบุกยึดกรุงเทพฯ เหตุผลก็เพราะรถมันติดมาก รถถังเข้าไปไม่ได้

 

ยุคที่ผมเกิดและต่อมาจนถึงวัยรุ่นเป็นยุค Baby boomer แต่ละครอบครัวต่างก็มีลูกกันอย่างน้อย 5-6 คนขึ้นไป บางครอบครัวมีลูกเกือบ 10 คน การเลี้ยงดูเด็กไม่ได้มีต้นทุนสูงมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องอาหารที่ไม่แพงและทำกินเองทุกบ้าน เลี้ยงแค่สิบกว่าปีก็ทำงานหาเงินได้แล้ว ดูเหมือนว่าเป็น ‘การลงทุน’ ที่คุ้มค่ามาก คนที่ไม่มีลูกนั้นจะถูกมองว่าอนาคตจะกลายเป็นคน ‘อนาถา’ ไม่มีคนเลี้ยงดู 

 

บ้านผมเองนั้นเนื่องจากยากจน จึงลงทุนมีลูกได้แค่ 3 คน 

 

อย่างไรก็ตาม พอคนเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่ตำแหน่งงานเพิ่มไม่ทัน คนว่างงานก็มากขึ้น กลายเป็นปัญหาสังคม รัฐบาลก็ต้องชะลอการเกิดโดยเน้นการคุมกำเนิดและเริ่มรณรงค์ด้วยสโลแกน ‘ลูกมากจะยากจน’ และส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย ‘มีชัย’ อย่างไรก็ตาม คนก็ยังคงเกิดมากอยู่ดี

 

ธุรกิจที่เฟื่องฟูมากที่สุดในยุคนั้นก็คือ ‘บ้านจัดสรร’ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการใหม่ในช่วงนั้น และทุกรายต่างก็จะเน้นโฆษณาว่า ‘น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีตลาด’ ทำเลที่มีโครงการมากที่สุดจุดหนึ่งก็คือซอยอ่อนนุช และอีกจุดหนึ่งก็คือถนนลาดพร้าว ที่มีการตัดถนนใหม่และมีพื้นที่ว่างจำนวนมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ กรุงเทพฯ ในยุคนั้น ‘ยังเล็กมาก’ ถนนหลักๆ มีไม่กี่สาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก็ยังว่างๆ สะพานควายเมื่อ 60 ปีก่อนยังแทบจะเป็นนอกเมือง แต่ก็ไม่มีควายให้เห็นแล้ว

 

ตัดภาพอย่างรวดเร็วมาถึงปัจจุบันที่คนไทยเพิ่มขึ้นมาจนเกือบถึง 70 ล้านคน และก็น่าจะกำลังเป็นจุดสูงสุด คนยุค Baby boomer  ก็เริ่มตายมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่แล้วก็อายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป บางคนใกล้ 80 ปีแล้ว ปี 2566 คนตายมากกว่าคนเกิดเป็นหมื่นคนแล้ว เหตุผลสำคัญก็คือ จำนวนคนเกิดแต่ละปีในช่วงหลังนั้นเหลือแค่ประมาณครึ่งหนึ่งคือประมาณ 5 แสนคน และดูเหมือนว่าจะลดลงเรื่อยๆ เพราะการเลี้ยงเด็กมีต้นทุนที่สูงมาก และกลายเป็น ‘การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า’ สำหรับพ่อแม่ การมีลูกกลายเป็น ‘การบริโภคที่ฟุ่มเฟือย’ และแม้แต่คนชั้นกลางจำนวนมากก็รับไม่ไหว

 

การศึกษาที่เผยแพร่ออกมาเมื่อ 2-3 วันก่อน นำโดย อ.เกื้อ วงศ์บุญสิน ศาสตราจารย์ทางด้านประชากรศาสตร์ เพื่อนร่วมรุ่นของผมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลที่น่าตกใจมากว่า ภายใน 60 ปี คือปี 2626 ซึ่งหลานผมจะมีอายุประมาณ 66 ปี คนไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคนเท่ากับสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่น และในจำนวนนั้นจะมีคนที่อยู่ในวัยทำงานเพียง 14 ล้านคนจากที่ไทยมีประมาณ 46 ล้านคนในวันนี้ หรือเหลือแค่ 30%

 

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจาก 8 ล้านคนในวันนี้เป็น 18 ล้านคน หรือเกินกว่า 50% ของคนไทยทั้งหมด ซึ่งถ้ามองว่าคนที่อายุเกิน 65 ปีนั้นจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องมีคนช่วยทำมาหาเลี้ยงชีพ นั่นก็แปลว่าคนไทยที่ทำงาน 1 คนจะต้องดูแลเลี้ยงดูคนสูงอายุ 1.3 คน ‘ผ่านระบบภาษี’ นั่นก็คือรัฐบาลเก็บภาษีคนทำงาน อาจจะในอัตราอย่างน้อย 50% เพื่อนำเงินมาเป็นสวัสดิการเลี้ยงดูคนสูงอายุที่ทำงานไม่ไหวแล้ว

 

และนั่นก็ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า รัฐไทยไม่ได้ทำอะไรที่จะแก้ไขก่อนจะถึงวันนั้น เช่น ให้มีการลงทุนในประเทศอื่นจำนวนมากอย่างที่ทำในประเทศสแกนดิเนเวีย หรือหลายประเทศที่นำเงินทั้งของรัฐและประชาชนไปลงทุนในต่างประเทศจำนวนมหาศาล ซึ่งก็จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอาจเพียงพอที่จะนำผลตอบแทนกลับมาให้ประชาชนของตนเองมีกินมีใช้เพียงพอโดยไม่ต้องทำงานเมื่อเกษียณแล้ว เป็นต้น

 

ผมคงไม่พูดมากนักกับเรื่องว่าจะทำอย่างไรในการแก้ปัญหาที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ในอีก 60 ปี นั่นควรเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องมองการณ์ไกลและอาจจะต้องเริ่มแก้ไขก่อน  เพราะวิธีแก้ไขนั้นต้องใช้ระยะเวลายาวพอๆ กับปัญหา แต่ผมอยากจะมองหรือจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะยาว แต่เป็นเรื่องที่เราจะต้องตระหนัก เพราะระยะยาวก็คือระยะสั้นหลายๆ ช่วงที่ต่อกันไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่มองระยะยาว เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมระยะสั้นแต่ละช่วงเวลาหรือแต่ละปีจึงเกิดสิ่งที่เราเห็น

 

ประเด็นแรกก็คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะถดถอยหรือลดลงไปเรื่อยๆ อย่างยาวนาน สุดท้ายเมื่อครบ 60 ปี ขนาดของเศรษฐกิจอาจลดลงจากปัจจุบันเหลือเพียงครึ่งเดียวหรือต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถเพิ่มผลิตภาพได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าคนทำงานของเราอาจจะเหลือเพียง 1 ใน 3 หรือต่ำกว่านั้น  

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ปีต่อปีนั้น บางปีเศรษฐกิจก็อาจจะดีกว่าปกติได้ แต่ก็จะไม่ยั่งยืน ปีต่อไปก็อาจจะลดลงต่อ ดังนั้นการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นที่จะให้ได้ผลตอบแทนที่ดีก็ทำได้ยาก

 

ธุรกิจที่ค่อนข้างที่จะอิงกับจำนวนคน โดยเฉพาะที่เป็นหนุ่มสาวหรือคนทำงาน จะค่อยๆ ถดถอยลงในระยะยาว โอกาสที่จะเติบโตน้อยมาก ตัวสำคัญก็คือที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงานและห้างร้านค้าปลีกเกือบทุกประเภท

 

บ้านจัดสรรและคอนโดนั้นจะมียอดขายโดยรวมต่อปีลดลงไปเรื่อยๆ และถึงจุดหนึ่งก็จะมีบ้านร้างแบบเดียวกับญี่ปุ่นที่ไม่มีคนอยู่และเจ้าของต้องยกให้คนอื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีอสังหาริมทรัพย์ อาคารสำนักงานก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจลดขนาดลงเพราะเศรษฐกิจไม่โตหรือลดลง ความต้องการพื้นที่สำนักงานก็จะลดลง และนี่ก็เช่นเดียวกัน บางปีก็อาจจะดีบ้าง แต่ในระยะยาวก็จะกลับมาลดลงต่อ


ช้อปปิ้งมอลล์ที่กำลังมีการเปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าเป็นห่วงมากว่าเปิดแล้วจะมีคนเข้าไปใช้บริการเพียงพอหรือไม่ เพราะคนจะเริ่มน้อยลง แน่นอนว่าอาจมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวก็ไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มห้างที่อาจจะมากเกินไปแล้วตั้งแต่วันนี้

 

รถไฟฟ้าสาธารณะที่เพิ่งเปิดหลายสายรวมถึงที่กำลังสร้างและที่อยู่ในแผน ถนนหนทางต่างๆ ที่สร้างเพิ่มขึ้นมาตลอดทั้งในเมืองและต่างจังหวัด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมไม่แน่ใจว่ารัฐเคยคำนึงถึงแนวโน้มด้านประชากรศาสตร์ของไทยที่กำลังลดลงหรือไม่ แผนและงบประมาณอาจจะล้าสมัยหมดแล้ว สร้างเสร็จแล้วผมก็ห่วงว่าอนาคตอาจไม่ค่อยมีคนใช้และกลายเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองก็ได้

 

ระบบโรงเรียนที่ทำไว้เพื่อรองรับจำนวนเด็กเป็นล้านคนต่อปี  ถึงวันนี้ผมไม่รู้ว่ามีคนคิดหรือไม่ว่าจะต้องเริ่มทำอะไรที่จะรับกับจำนวนนักเรียนที่เหลือเพียงครึ่งเดียว งบประมาณที่มีจำนวนสูงแทบจะที่สุดนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ที่จะทำให้คนไทยมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจไม่ถดถอยลงและคนไทยมีรายได้สูงกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้

 

สุดท้ายก็คือ คนสูงอายุที่ทำงานไม่ได้และจำนวนมากไม่ได้มีเงินออมและเงินลงทุนเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเพียงพอตามอัตภาพจะทำอย่างไร และนี่ก็อาจเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นที่สุด อาจจะแค่ภายใน 10 ปีนี้เท่านั้น

 

ยังมีประเด็นปัญหาอื่นๆ อีกมากที่กำลังจะเกิดขึ้นตามการแก่ตัวของคนที่ยังไม่มีใครคิด ไม่ต้องพูดถึงการแก้ไข ถ้าจะมีผมคิดว่าก็อาจเป็นนักลงทุนแบบ VI รวมถึงตัวผมเองที่เริ่มไปลงทุนในตลาดของประเทศที่ยังไม่แก่ตัวแล้ว เหตุเพราะเราเป็นนักลงทุนระยะยาวที่จะต้องตัดสินใจวันนี้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising