×

อิมเมจ สุธิตา ในวันที่ ‘เข้าใจ’ ว่า ‘ไม่ต้องเข้าใจ’ ทุกเรื่องก็ได้

07.03.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • อิมเมจเคยตกอยู่ในช่วงเวลาที่พยายามค้นหาคำตอบเพื่อทำความเข้าใจทุกอย่าง ก่อนที่จะค่อยๆ เรียนรู้เรื่องสำคัญที่ว่า คนเราไม่จำเป็นต้อง ‘เข้าใจ’ ทุกเรื่องก็ได้ 
  • เพลง เข้าใจ คือผลงานลำดับที่ 3 ของอิมเมจในฐานะศิลปินจากค่าย Smallroom ที่เธอเป็นคนเขียนเนื้อร้องขึ้นมาเองจากประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิต 
  • อิมเมจเปรียบเทียบบทบาทศิลปินของเธอว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้ค้นพบรสชาติแห่งความหวานเมื่อได้สื่อสารเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอ แต่ต้องแลกรสชาติของความขมตอนปลายๆ ในบางช่วงเวลา 

น่ารัก สดใส มีเสน่ห์ เสียงมีเอกลักษณ์น่าหลงใหล ตรงไปตรงมา กล้าแสดงความคิดเห็น มั่นใจในตัวเอง ฯลฯ 

 

คือคุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้หลายคนหลงรักในตัว อิมเมจ-สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ นับตั้งแต่วันแรกที่เธอขึ้นไปสะกดคนฟังด้วยเพลง Falling Slowly ในรายการ The Voice Thailand ซีซัน 3 

 

6 ปีผ่านไป อิมเมจในวัย 22 ปี ได้ผ่านเรื่องราวมากมายทั้งสุข-ทุกข์ ดี-ร้าย ที่มาพร้อมเพลง เข้าใจ ที่เธอดึงเอาช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตมาเขียนเป็นบทเพลงที่เอาไว้ใช้เตือนตัวเอง 

 

หลังจากตั้งสติ ตกตะกอนจากหลายๆ เหตุการณ์จนเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วคนเราไม่จำเป็นต้อง ‘เข้าใจ’ ทุกเรื่องก็ได้ เราเพียงแค่เป็นคนเดินทางผ่านที่ต้องตามให้ทันทุกความรู้สึก แล้วสุดท้ายทุกอย่างจะผ่านไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

 

ถึงแม้วันนี้อิมเมจจะถอดแว่นที่หลายคนเคยคุ้นออกจากดวงตา แต่เราเชื่อว่าเธอสามารถมองเห็นทุกสิ่งด้วยความ ‘เข้าใจ’ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม 

 

 

มีเรื่องอะไรบ้างที่อิมเมจเพิ่งเรียนรู้จนสามารถตกตะกอนกลายเป็นเพลง เข้าใจ ขึ้นมาได้

ที่เห็นได้ชัดคือเราชิลขึ้นเยอะมากจากหลายอย่าง หลายเหตุการณ์ที่เจอ ตอนที่เป็นวัยรุ่นตอนต้นจะคิดว่าโลกหมุนรอบตัวเรา ทุกคนต้องสนใจเราหมด ยกตัวอย่างง่ายๆ คือสิวขึ้น ก็จะคิดว่าทุกคนต้องมองสิวเราแน่ๆ อายจังเลย แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครเขามาสนใจสิวเราหรอก มีแค่เราที่สนใจไปเอง หรือต่อให้จะมีคนมองสิวเราจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ใครๆ ก็เป็นสิวกัน 

 

ฟังดูเป็นเรื่องเล็กมากเลย (หัวเราะ) แต่มันสำคัญนะ เพราะทำให้เห็นภาพกว้างมากขึ้น กลายเป็นว่าปัญหาต่างๆ ที่เคยคิดว่ามันแก้ไม่ได้ มันดันมีทางแก้ขึ้นมา แล้วทำให้เรามีความสุขง่ายขึ้นเยอะเลย 

 

แค่เราไม่โฟกัสกับเหตุการณ์แย่ๆ แล้วฉุดตัวเองไปกับความคิดที่ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับเรา เมื่อก่อนจะคิดอยู่อย่างนั้น ตอนนี้พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา อ๋อ สงสัยช่วงนี้ดวงตก ก็เลยซวย (หัวเราะ) มันไม่ตกตลอดไปหรอก พยายามไม่เอาตัวเองไปผูกกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เราเป็นแค่ผู้เดินทางผ่านมันไป

 

 

จริงๆ แล้วช่วงที่เป็นเด็กกว่านี้เราน่าจะมีความสุขได้ง่ายกว่าตอนที่มีอายุมากขึ้นหรือเปล่า

มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่พออะไรเข้ามาอิมชอบเอามาพันรอบตัวเองไว้หมด แล้วเคยถึงขนาดว่าจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขไปถึงจุดสูงสุดด้วยนะ เพราะกลัวว่าตัวเองจะเศร้าถ้าวันหนึ่งสิ่งที่ทำให้มีความสุขหายไปแล้ว พยายามเฉยชากับทุกอย่าง เพื่อที่จะได้ไม่เศร้า ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะสุดท้ายเราก็ต้องเศร้าอยู่ดี ตอนนี้เลยไม่ใช่การพยายามเฉยชา แต่พยายามมองว่าทุกอย่างเป็นกลางทั้งหมด 

 

แต่ก็ยังทำไม่ได้ทั้งหมดนะ สมมติคะแนนเต็ม 10 ก็ให้ตัวเองสัก 7.5 เหลือเอาไว้ 2.5 คะแนนกับช่วงที่สติหลุด ตามตัวเองไม่ทัน หรือวันที่นอนไม่พอแล้วหงุดหงิดง่าย (หัวเราะ) ก็จะกลับมาสู่ลูปเมื่อเกิดปัญหา แล้วก็คิดวนอยู่อย่างนั้น หาสาเหตุ หาเหตุผลมาประกอบ ทำไม ทำไม ทำไม แล้วคำตอบที่ได้ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือผิดด้วยนะ แต่คิดไว้ก่อน เพราะอยากบอกตัวเองได้ว่าเราเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วแค่ตอนที่ยอมรับว่า ไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย นั่นล่ะคือการเข้าใจอย่างหนึ่งแล้ว 

 

และเป็นเมสเสจอย่างหนึ่งในเพลง เข้าใจ ที่เหมือนอิมแต่งขึ้นมาเพื่อเอาไว้เตือนตัวเองด้วย เพราะอย่างที่บอกว่าปกติเป็นคนคิดเยอะมาก ทุกอย่างต้องได้รับคำอธิบาย แต่ปัญหาบางอย่างมันไม่มีคำอธิบาย ถ้ามัวแต่จมอยู่อย่างนั้นเราจะยิ่งไม่มีวันได้สิ่งที่ต้องการ 

 

อยากให้เพลงนี้ช่วยเตือนสติเราขึ้นมาว่า เออ ทุกอย่างมีเหตุผล แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องไหนที่ไม่ส่งผลกับชีวิตของเราก็ปล่อยมันไป

 

มิวสิกวิดีโอเพลง เข้าใจ

 

 

อิมเมจเป็นวัยรุ่นอายุ 22 ปีที่พูดคำว่าสติบ่อยมาก มีเหตุการณ์ไหนบ้างไหมที่ทำให้รู้สึกถึงความสำคัญของสิ่งนี้ขึ้นมา 

อิมเคยไม่มีสติแล้วหลุด ไม่ได้หลุดไปไหนนะ หลุดเข้าไปในหัวตัวเอง เคยนั่งนิ่งๆ ตั้งแต่บ่ายสองจนเหลือบตาดูอีกที ฟ้ามืดแล้ว เราทำอะไรลงไป (หัวเราะ) แล้วมันนึกไม่ออกเลยนะว่าเมื่อกี้คิดอะไรอยู่ จุดเริ่มต้นมาจากตรงไหน ขนาดความคิดสุดท้ายก่อนจะเห็นฟ้ามืดคืออะไรยังจำไม่ได้เลย อันนี้คือไม่มีสติแล้ว

 

แล้วไม่ใช่แค่เหตุการณ์นั้นวันเดียว ปกติอิมก็จะชอบเบลอ ถือของเอาไว้ แป๊บเดียวเอาไปวางไว้ไหนไม่รู้ หาไม่เจอแล้ว เลยรู้สึกว่าไม่ไหว ต้องมีสติแล้ว เพราะเหนื่อยมากกับการหาของ (หัวเราะ) ก็เริ่มจากพยายามรับรู้ถึงช่วงที่ไม่มีสติของตัวเองให้ได้ก่อน พอเริ่มรู้ว่าหลุดก็คือรับรู้ไปเรื่อยๆ เหมือนฝึกกล้ามเนื้อสมองให้จำว่าตอนไหนหลุด แล้วดึงตัวเองกลับมาให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ 

 

ทีนี้ก็บอกตัวเองว่าจะมีสติทุกครั้งที่วางของ ท่องไว้เลย กุญแจบ้านอยู่ในกระเป๋าสีเหลือง โทรศัพท์ชาร์จอยู่ที่หัวเตียง พูดซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ แล้วมันได้ผลจริงๆ นะ

 

 

ถ้าสมองเป็นกล้ามเนื้อที่ฝึกได้ เราสามารถใช้วิธีเดียวกันเพื่อฝึกอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองได้ด้วยไหม

มันคือเรื่องสติเหมือนกัน อยู่ที่ว่ามันกระทบความคิดหรือกระทบจิตใจของเรา ถ้าเรารู้ตัวทันว่า อ๋อ เพราะสิ่งนี้มากระทบ เราเลยเกิดความรู้สึกแบบนี้ ตามความรู้สึกนั้นให้ทันก็จะดีลกับอารมณ์พวกนี้ได้ดีขึ้น 

 

แต่อิมจะแค่พยายามตามให้ทัน ไม่ถึงขนาดไปนำความรู้สึกนะ เศร้าก็ให้รู้ว่าเศร้า เสียใจก็ให้รู้ว่าเสียใจแค่นั้นก็พอ ไม่ใช่รู้สึกแล้วต้องรีบบอกว่า หยุดเสียใจเดียวนี้ ยิ่งฝืนจะนำไปสู่ความบ้าที่อาจทำให้เราหลุดได้น่ากลัวกว่านี้ แค่เดินไปพร้อมๆ กับมันก็พอ 

 

ในเพลง เข้าใจ อิมไม่ใช้คำว่าดีขึ้น แต่ใช้คำว่าผ่านไป เพราะบางครั้งเรากำหนดไม่ได้ทุกอย่างหรอกว่ามันจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า อาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือสุดท้ายไม่ว่าความรู้สึกจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายมันจะผ่านไปจริงๆ 

 

ตอนแรกอิมไม่ได้คิดจะเอาเพลงนี้มาใช้ด้วย เพราะตั้งใจว่าอยากเขียนอะไรบางอย่างเอาไว้เตือนตัวเองในช่วงที่เราไม่มีสติแค่นั้นจริงๆ แล้วพอเขียนไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่ามันฮีลเราได้จริงๆ มันช่วยให้อิมผ่านอะไรหลายๆ อย่าง เลยรู้สึกว่าอยากให้เพลงนี้เป็นเพื่อนที่ช่วยปลอบใจ เยียวยา และบอกทุกคนว่าเดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไปเหมือนที่มันช่วยอิมได้

 

การฮีลตัวเองด้วยเพลงของคนอื่นกับการฮีลตัวเองด้วยเพลงของตัวเองต่างกันไหม

เยอะค่ะ เวลาฟังเพลงคนอื่น เราจะรู้สึกเหมือนเรามีเพื่อนที่เข้าใจและคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นเพลงที่ตัวเองแต่ง มันจะรู้สึกว่า โห ฉลาดมากเลย เขียนเพลงแบบนี้ออกมาได้ยังไง (หัวเราะ) เป็นการฮีลด้วย อวยตัวเองด้วยไปพร้อมๆ กัน แล้วก็หวังว่าเพลงนี้จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่เข้าใจ เหมือนที่หลายๆ เพลงเคยช่วยเราไว้เหมือนกัน 

 

 

ณ ตอนนี้คิดว่าอิมเมจเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าความรักมากน้อยขนาดไหน

ไม่เข้าใจค่ะ (หัวเราะ) เวลาใช้คำว่าความรัก มันดูเหมือนว่าเราจะต้องมีเนื้อคู่ หรือถูกโยงให้เป็นแบบ Romantic Love อย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วเนื้อคู่มันไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดแค่ความรักแบบคนรัก แต่เนื้อคู่สามารถเป็นความสัมพันธ์แบบ Platonic Love เป็นความรักแบบพี่น้อง เพื่อน ครอบครัว สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก หรือแม้กระทั่งการงานที่ทำอยู่ เนื้อคู่คือสิ่งที่เราจินตนาการไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่มีเขาขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร 

 

อย่างอิมมีความรู้สึกว่าเราเจอเนื้อคู่แล้วเป็นครั้งแรกในชีวิต คือเพื่อนสนิทตอนมัธยม เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ชอบผู้ชายเหมือนกัน ไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรเลย แต่เรารู้สึกได้ว่า นี่ล่ะคือเนื้อคู่ของเรา เป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับเขา ไม่ต้องแต่งงาน แค่เราอยากเป็นเพื่อนกับคนคนนี้ไปตลอดชีวิต 

 

อิมเชื่อว่าทุกคนมีเนื้อคู่แน่ๆ อยู่ที่ว่าจะหาเจอหรือเปล่า เนื้อคู่ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีแค่

อย่างเดียว ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นแค่คนรัก แต่ถามว่าความสัมพันธ์แบบคนรักจำเป็นไหม ก็จำเป็นนะ (หัวเราะ) คนรักเป็นหนึ่งในสับเซตของเนื้อคู่อีกที 

 

ตอนนี้มีอะไรบ้างที่สามารถเรียกว่าเป็นเนื้อคู่ของอิมเมจได้

กล้อง เพื่อนสนิทคนนั้น แล้วก็…ตอบว่าแฟนได้ไหม (หัวเราะ) แล้วก็งานที่ทำอยู่ตอนนี้ค่ะ 

 

 

ความเข้าใจ ณ ตอนนี้ คิดว่าอิมเมจคือใคร 

เป็นมนุษย์ อิมชอบใช้คำนี้ มนุษย์คือลูก คือนักเรียน คือนักร้อง คือคนรัก คืออะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครมาจำกัดได้นอกจากตัวเรา รู้สึกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำเรื่องที่ไร้ขีดจำกัดให้เกิดขึ้นได้เต็มไปหมดเลย ต้องล่าสัตว์ก็สร้างอาวุธ เดินทางลำบากก็สร้างรถ อยากมีที่พักสะดวกสบายก็สร้างตึก ร้อนก็สร้างแอร์ ขี้เกียจซักผ้าก็สร้างเครื่องซักผ้า

 

มนุษย์ที่ชื่ออิมเมจเกิดมาเพื่ออะไร

เกิดมาเพื่ออะไรไม่รู้ แต่สิ่งที่รู้สึกตอนนี้คือโชคดีที่ได้อยู่ในจุดที่เราสื่อสารกับคนหมู่มากได้ และอยากให้พื้นที่ตรงนี้ในการสื่อสารเรื่องดีๆ มุมมอง หรือผลงานบางอย่างที่เป็นประโยชน์ให้กับคนฟังและทุกๆ คนได้

 

ซึ่งถือว่ามาไกลมากเลยนะ จากเด็กคนที่ขึ้นไปร้องเพลงในรายการ The Voice โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย มีแค่ความรู้สึกว่าต้องไป ถ้าไม่ได้ไปมันจะอึดอัด เหมือนตัวจะระเบิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไร หรือชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกพวกนั้นมันมาจากไหน แต่สุดท้ายความไม่เข้าใจนั้นก็พาให้เรามาถึงตรงนี้ ได้ชิมรสชาติที่เราไม่เคยได้ชิมมาก่อน เป็นรสชาติที่หวานตอนต้นแต่ขมปลายๆ 

 

 

โดยเฉพาะตอนที่เราได้สื่อสารในสิ่งที่เราอยากสื่อสารออกไป มันจะหวานมากเลยนะ ทำให้เราอยากกินมันเรื่อยๆ แต่มันก็จะขมในบางครั้ง บางมุมที่เราอยากเก็บกับตัวเองแล้วถูกเปิดออกมา 

 

อย่างอิมชอบ เทย์เลอร์ สวิฟต์ มาก เราก็ติดตามผลงาน ติดตามความคิดเขามาตลอด แต่ก็จะเห็นเวลาเขาถูกพูดถึงในเรื่องแย่ๆ บางทีเราโกรธแทนเขาด้วยซ้ำนะว่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดทำไม เวลาเขารักๆ เลิกๆ กับใคร หรือช่วงที่เขาอ้วนขึ้นแล้วออกข่าว หรือมีการตัดต่อเอารูปเขาไปทำเป็นมีมเพื่อล้อเลียน 

 

มันก็ค่อนข้างหนักอยู่นะ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน มันอาจจะขมแค่นิดเดียว อย่างที่บอกว่ามันมีความหวานเวลาได้สื่อสาร ที่ทำให้เราอยากกินมันต่อไปเรื่อยๆ 

 

และสุดท้ายเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะให้เห็นแค่ไหน แล้วอิมคิดว่าคนที่เป็นแฟนคลับจริงๆ ของอิมส่วนใหญ่ค่อนข้างน่ารัก และเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำสิ่งเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน แล้วก็ต้องคิดมากขึ้นหน่อยเวลาออกไปข้างนอก เพราะอิมชอบใส่ชุดนอน ชุดเชยๆ ออกไปข้างนอก หน้าก็ไม่ค่อยแต่ง เพราะชอบลืมไปว่าอาจจะมีคนมาขอถ่ายรูป บางทีก็ต้องบอกว่าแต่งรูปให้ด้วยนะคะ แต่พอแท็กรูปมาในอินสตาแกรม โห พี่คะ ทำไมไม่แต่งให้เลย ฟิลเตอร์ก็ไม่ใส่ (หัวเราะ) 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising