เที่ยวกรุงเทพฯ เรียนรู้เรื่องเก่า เข้าสู่สีสันใหม่ [Advertorial]

สำหรับใครที่มีไลฟ์สไตล์หลงใหลการถ่ายรูป ชื่นชอบงานอาร์ต นิยมชิมอาหารแบบโลคัลและอยากเข้าถึงกลิ่นอายประวัติศาสตร์ผ่านวัฒนธรรม ต้องห้ามพลาด เพราะวันนี้เราขอเสนอทริปเที่ยวกรุงเทพฯ ตั้งแต่สายยันค่ำ พร้อมการันตีเวลาการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด ไม่เกิน 20 นาที ต้องถึงที่หมาย ไม่ว่าจะเดินก็ดี หรือจะใช้บริการรถสาธารณะก็ได้ แค่ลองออกไปเที่ยวดูสิ แล้วจะรู้ว่าเที่ยวกรุงเทพฯ แบบนี้มีสีสัน มอบความสุขและสุดคูลแค่ไหน   

 

สีสันที่ 1 สัมผัสพุทธศิลป์ แอบอิงประวัติศาสตร์เยาวราช 

 

ภายในวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

 

 

เที่ยวกรุงเทพฯ วันว่างหรือวันหยุด ตื่นให้เช้าสักนิด ตั้งต้นด้วยการเดินทางไปกราบสักการะขอพรพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารบนชั้นสูงสุดของพระมหามณฑป 4 ชั้น นาม ‘พระสุโขทัยไตรมิตร’ โดยเป็นพระพุทธรูปเนื้อทองคำ เหลืองอร่ามสุกปลั่ง ฝีมือสกุลช่างศิลป์สุโขทัยรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ จนได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Records ว่า เป็นพระพุทธรูปที่ขึ้นรูปผสมด้วยทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตลอดจนความสวยงามด้านสถาปัตยกรรมของพระมหามณฑปตามอัตลักษณ์ไทยอันสุดวิจิตรบรรจง ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศเดินทางมาเพื่อให้ได้ชมกับตา และเก็บภาพเป็นที่ระลึกกลับไปอยู่ไม่ขาด

 

นิทรรศการหลวงพ่อทองคำ ‘จากพุทธศิลป์สุโขทัย สู่พุทธสมัยปัจจุบัน’ 

 

 

จากชั้น 4 ลงมาสู่ชั้น 3 ย้อนรอยความเป็นมาของ ‘พระสุโขทัยไตรมิตร’ หรือ ‘หลวงพ่อทองคำ’ เล่าเรื่องตั้งแต่กำเนิดการสร้างองค์พระ ตลอดจนโมเดล วีธีการสร้าง และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ สรุปจนถึงปัจจุบัน ผ่านรูปแบบมัลติมิเดียและแอนิเมชัน โดยเรื่องจริงในประวัติศาสตร์นั้นราวนิยายแฟนตาซี เพราะแต่เดิมเมื่อคราวถูกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผิวพรรณองค์พระภายนอกถูกฉาบพอกทาด้วยเนื้อปูน เหตุที่ทำเช่นนั้นมีการสันนิษฐานว่า ช่างโบราณผู้สร้าง ต้องการปกปิดผิวเนื้อทองคำแท้ของพระพุทธรูป เพื่อให้รอดพ้นเงื้อมมืออริราชศัตรูที่เข้ามารุกรานในการศึกสงคราม กระทั่งพุทธศักราช 2498 พระพุทธรูปทองคำก็ปรากฏขึ้น ด้วยอุบัติเหตุองค์พระร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง ขณะขนย้ายจากวัดพระยาไกรเพื่อมาประดิษฐานที่วัดไตรมิตรแห่งนี้ ทำให้ผิวปูนแตกหลุดร่วงออก และเผยให้เห็นผิวทองคำเดิมขององค์พระพุทธรูป จนเกิดเป็นข่าวใหญ่ออกไปทั่วโลก ณ เวลานั้น

 

ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ‘ความรุ่งเรือง บนถนนสายทองคำ’

 

 

ถัดลงมาที่ชั้น 2 ตามลอดลายมังกรกันต่อในศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ที่เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่ชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาพึ่งพระบารมีของราชวงศ์จักรี เมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และย้ายราชธานีจากรุงธนบุรีมาฝั่งพระนคร จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนจีนย้ายมาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทางทิศใต้ และพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ให้สามารถปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ระหว่างคลองสามปลื้มกับคลองวัดสามเพ็ง หรือย่านสำเพ็ง จนกลายมาเป็นเมืองท่าและย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ภายใต้บรรยากาศนิทรรศการจัดเต็มทั้งแสง สี เสียง และโมเดลเสมือนจริงไม่ว่าจะเป็นสิ่งของและผู้คนยุคโบราณ ที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆ ตามวิถีชีวิตในช่วงกาลเก่า เช่น บรรยากาศการขนสินค้าริมท่าน้ำ ค้าขาย รับประทานอาหาร เขียนโคมจีน ฯลฯ ก่อนจะไล่เลียงระยะเวลาแห่งการพัฒนาอย่างละเอียดและก้าวเข้าสู่ความรุ่งเรือง จนกลายเป็นถนนสายทองคำของกรุงเทพฯ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน  

 

สีสันที่ 2 ชิมอาหารริมทางและแชะ แชร์ งานอาร์ต 

 

อาอี๊หวานเย็น

 

 

ถึงเวลาเที่ยงๆ เที่ยวกรุงเทพฯ แบบนี้ แน่นอนเราหนีไม่พ้นสภาพอากาศร้อนผสมกับความหิว ก็ขอแนะนำให้อดทนอีกนิด แล้วเดินมุ่งไปทางถนนเยาวราชแค่ 400 เมตร  จนถึงแยกเฉลิมบุรี จะเจอร้านขนมหวานสูตรจีนโบราณชื่อ ‘อาอี๊หวานเย็น’ กับเมนูเด่นที่ต้องมาชิมให้ได้นั่นก็คือ ‘เชงทึงหมี่หวาน’ ลักษณะเป็นเส้นหมี่สีเหลืองทำจากแป้งสาลีก่อนนำมาลวก แล้วคลุกเคล้าในน้ำเชื่อม ผสมกับลูกเดือย แห้ว เฉาก๊วย เม็ดบัว และแป้งต้มกลม (หรือเช็งซิมอี๊นั่นเอง) ในราคาถ้วยละ 40 บาทเท่านั้น ส่วนเรื่องรสชาติบอกเลยว่าทุกอย่างกลมกล่อม โดยเฉพาะความหนึบนุ่มของเส้นหมี่ที่ผสานเข้ากับรสหวานพอดีของน้ำเชื่อม ทำให้สามารถซดได้เต็มคำแบบไม่กลัวเลี่ยน ช่วยดับกระหายคลายร้อนและอิ่มท้องกำลังดี

 

อึ้งเป็งชุงลูกชิ้นปลา

 

 

อิ่มหวานเบาๆ ไปแล้วมาต่อที่ของคาวหนักๆ กันบ้าง กับร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเยาวราชเจ้าเก่า แค่เดินตรงขึ้นมาเรื่อยๆ ตามริมถนนเยาวราช ก็จะเจอตัวร้านตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ ใกล้กับธนาคารยูโอบี สำหรับเมนูอร่อยก็คือ ก๋วยเตี๋ยวเส้นบะหมี่ ลูกชิ้นปลาทั้งกลมและแบน ฮือก้วย และเผือกทอด โดยเฉพาะลูกชิ้นปลาและฮือก้วยนั้น เนื้อแน่น เด้งดึ๋ง สดใหม่มาก กัดปุ๊บรู้ปั๊บว่าคัดแต่เนื้อปลาชั้นดีมาผลิต ตามสูตรลับเฉพาะของทางร้าน ราคาเมนูมาตรฐานชามละ 60 บาท เทียบกับปริมาณและรสชาติแล้วก็ถือว่าคุ้มค่าสมราคา

 

MRT สถานีวัดมังกรและสนามไชย

 

 

จากอึ้งเป็งชุงลูกชิ้นปลา สามารถเดินลัดเลาะมาสถานีวัดมังกรเพียงไม่กี่ก้าว ก็ถึงเวลาแชะแล้วแชร์กันให้เต็มที่ เพราะตลอดผนังทั้งสองข้างภายในสถานี เต็มไปด้วยรูปลายเพนต์สไตล์จีนร่วมสมัยบนผนังสีแดงสด ที่มีทั้งภาพมังกรสง่างาม น้ำเต้า แจกัน ภาพชายหญิงในชุดจีนโบราณ และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าสวยงามในทุกมุม ถ่ายจนจุใจแล้วก็ลงนั่งชิลบนรถไฟฟ้าต่ออีกนิด เพื่อมาลงที่สถานีสนามไชย ซึ่งเพียงแค่ก้าวออกมานอกตัวรถไฟใต้ดินเท่านั้น พลันบรรยากาศก็เปลี่ยนจากดินแดนมังกรกลายเป็นท้องพระโรงในพระมหาราชวังไทยสมัยรัตนโกสินทร์สุดวิจิตร และแน่นอนสามารถถ่ายรูปสวยได้ในทุกมุมไม่แพ้กันเชียวล่ะ

 

สีสันที่ 3 พิพิธบางลำพู ต่อดินเนอร์หรูในราคาเบาๆ 

 

พิพิธบางลำพู

 

 

จากสถานี MRT สนามไชย สามารถนั่งรถแท็กซี่ต่อไปยังถนนพระอาทิตย์ เพื่อไปชม  ‘พิพิธบางลำพู’ ตั้งอยู่ใกล้กับป้อมพระสุเมรุ สำหรับที่นี่ในอดีตคืออาคารโรงพิมพ์คุรุสภาเก่า ตัวอาคารแบ่งเป็นสองหลังรูปทรงตัวแอล โดยหลังแรกออกแบบก่ออิฐถือปูนสไตล์เบาเฮาส์ (เกิดจากโรงเรียนศิลปะ Bauhaus ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนีในยุค 1959-1951) จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา บทบาทหน้าที่ของกรมธนารักษ์และราชพัสดุ และอาคารไม้หลังที่สองเป็นส่วนของนิทรรศการสีสันบางลำพู นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ย่านบางลำพู นับแต่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วิถีชีวิตในอดีต ของดีในชุมชนตามตรอกซอกซอยต่างๆ ในปัจจุบัน รวมถึงกิ่งลำพูต้นสุดท้ายของจริงที่นำมาผสมกับต้นลำพูจำลอง ภายใต้แสงหิ้งห้อยระยิบระยับน่าชม

 

สตรีทส์ กรุงเทพ ข้าวสาร ของโรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ ข้าวสาร เวียงใต้

 

 

สารภาพตรงๆ ว่าไม่คิดจะได้พบ Hidden Place ดีๆ อย่างนี้ เพียงแค่อยากเดินลัดเลาะถ่ายรูปเล่น และไปแวะหาของรับประทานที่ถนนข้าวสารเท่านั้น แต่บังเอิญเลี้ยวเข้าซอยรามบุตรีถึงราวๆ กลางซอย สายตาก็เหลือบไปเห็นโมเดลสีแดงสดขนาดเท่าคนจริง (รู้ทีหลังว่าเจ้านี้มีชื่อว่า Red Man) บริเวณหน้าร้านสตรีทส์ กรุงเทพ ข้าวสาร ภายใต้โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ ข้าวสาร เวียงใต้ ที่ตกแต่งภายในสไตล์เรโทรได้เก๋และเท่ไม่เบา รวมถึงป้ายเมนูอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี ราคากำลังสวย ประจวบกับถึงเวลามื้อเย็นพอดี ก็เลยขอลองสักหน่อย เริ่มจากอาหารคาวอย่าง ซี่โครงหมูอบ ผัดไทย ปีกไก่ทอดราดซอสสูตรพิเศษ ตามด้วยขนมหวาน ทั้งไอศกรีมหลากชนิดหลายรสชาติ ชีสเค้กต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และมะม่วง เป็นต้น ซึ่งขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เมื่อเทียบกับราคา ปริมาณ และคุณภาพ ตลอดจนการบริการตามแบบฉบับของโรงแรมในเครือ Accor และอีกอย่างที่น่าจะโดนใจสายเดินชมเที่ยวชิลแบบนี้มากๆ นอกเหนือไปจากบรรยากาศและอาหารตามที่ว่ามาแล้วก็คือ บริการพื้นที่จอดรถภายในตัวโรงแรม ใครที่อยากเดินทางมาละแวกนี้ก็สามารถขับรถมาเอง หรือนั่งรถไฟ MRT มาตั้งต้นที่สถานีวัดมังกรก็สะดวกสบายได้หมด ส่วนตอนนี้หลังจากอิ่มท้องแล้ว อยากขอนั่งชิลที่บาร์ จิบเบียร์เย็นฉ่ำ พร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศละแวกถนนข้าวสารสักหน่อย หากกลับไม่ไหว คืนนี้ก็จะขอจองห้องพักค้างสักคืนที่โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ ข้าวสาร แห่งนี้กันไปเลยแล้วกัน

 

 

ย้ำอีกครั้งเป็นการทิ้งท้าย การเที่ยวกรุงเทพฯ แบบนี้นั้นถือเป็นเสน่ห์ที่ต้องออกมาสัมผัสถึงจะค้นพบ และเป็นการชาร์จพลังแห่งความสุขให้กับชีวิต รวมทั้งช่วยเสริมพลังแห่งจินตนาการสร้างสรรค์ จากสถานที่ที่ไม่คาดคิด และการได้พบเจอประสบการณ์แปลกใหม่ แบบฉบับไม่เปลืองเวลา แต่มีคุณค่าทางใจได้มากเกินบรรยาย