รถยนต์มาทดแทนรถม้าอย่างรวดเร็ว
ค.ศ. 1900 ในนิวยอร์กมีม้าอยู่ถึง 100,000 ตัว ในขณะที่ทั้งสหรัฐอเมริกามีรถยนต์เพียงประมาณ 13,000 คัน แต่รถยนต์จะถูกมองว่าเป็นของเล่นของเศรษฐี เพราะราคาที่สูงมาก ทำให้คนส่วนใหญ่เอื้อมไม่ถึง จึงทำให้การเดินทางส่วนใหญ่ต้องใช้ม้าเป็นหลัก แต่ในช่วงนั้นทุกคนตระหนักดีถึง Pain Point ของการใช้รถม้า นั่นคือมันก่อให้เกิดวิกฤตขี้ม้า ทั้งก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และปัญหาด้านสาธารณสุข
ผมขอยกตัวอย่าง ม้าหนึ่งตัวจะผลิตขี้ม้าออกมาวันละ 15-35 ปอนด์ เพราะฉะนั้นแค่ในนิวยอร์กช่วงปี 1900 ก็มีขี้ม้าวันละอย่างน้อย 1.5 ล้านปอนด์ที่เทศบาลต้องหาทางกำจัด นอกจากนั้นการใช้ม้ายังต้องมีการให้อาหาร น้ำ และหาคอกม้าเพื่อดูแลม้าเหล่านี้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
แต่ม้าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญมาก ทั้งสำหรับการเดินทางและการขนส่งสินค้า จนกระทั่งรถยนต์ได้มาแทนที่รถม้าและช่วยแก้วิกฤตขี้ม้าโดยสำเร็จ ผมจึงอยากให้สังเกตรูปเปรียบเทียบถนน 5th Avenue ระหว่างปี 1900 กับปี 1913 รถม้าก็แทบจะสูญหายไปจากถนนเมืองนิวยอร์ก ในปัจจุบันเหลือไว้เพียงแถว Central Park ให้นักท่องเที่ยวนั่งเล่นชมเมือง แม้กระทั่งนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เคยกล่าวว่า ถ้าเขาเป็นนักลงทุนในปี 1905 เค้าจะ Short ม้า เพราะมองเห็นว่าม้ากำลังจะถูกทดแทนด้วยรถยนต์
เมื่อ 100 กว่าปีก่อน รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถที่ได้รับความนิยมที่สุด ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเราใช้รถยนต์พลังงานสันดาป (Internal Combustion Engine) หรือรถ ICE ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบันมาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงยุค 1900 จริงๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้ากลับเป็นรถที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ถ้าไปค้นสถิติจำนวนรถยนต์จากนิวยอร์กในปี 1900 จะพบว่ามีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าถึงร้อยละ 40 ตามมาด้วยสัดส่วนรถยนต์พลังไอน้ำ ร้อยละ 38 แต่รถยนต์ใช้น้ำมันกลับได้รับความนิยมน้อยที่สุดด้วยสัดส่วนเพียงร้อยละ 22
ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าถึงได้รับความนิยมมากในช่วงแรก
เพราะรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถที่มีความสะดวกสบายในการใช้อย่างสูง ถ้าเปรียบเทียบกับการสตาร์ทเครื่องยนต์ในรถ 3 แบบ สำหรับรถยนต์ไอน้ำต้องใช้เวลากว่า 45 นาทีในการอุ่นเครื่องยนต์ก่อนการใช้งาน และในส่วนของรถยนต์ใช้น้ำมัน ต้องใช้แรงในการหมุนให้เครื่องติด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการสตารท์รถ และผู้หญิงสมัยนั้นส่วนใหญ่ไม่ยอมขับรถที่ใช้น้ำมัน
ส่วนในด้านการใช้งาน รถยนต์ใช้ไอน้ำต้องมีการบรรจุน้ำจำนวนมาก และมีอันตรายสูงจากน้ำเดือดที่ผลิตไอน้ำ ต้องเติมน้ำบ่อยในการเดินทาง สำหรับรถยนต์ใช้น้ำมันเป็นอะไรที่ไม่สะดวกและไม่น่าใช้เลย ทั้งเสียงเครื่องยนต์ที่ดัง แรงสั่นสะเทือนมาที่ตัวรถ รวมถึงกลิ่นควันท่อไอเสียที่เหม็น และไม่น่าพิศวาสเท่าไรนัก นอกจากนั้นยังต้องมีการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนเกียร์กระปุกในปัจจุบัน (ผู้เขียนพยายามกลับไปลองขับเกียร์กระปุกอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ ก็รู้สึกว่ามันใช้ไม่ง่ายเลย แทบต้องเรียนรู้ใหม่อีกครั้ง)
เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่สตาร์ทติดง่าย ไม่ต้องใช้แรงในการหมุน การขับที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนเกียร์ ห้องโดยสารที่เงียบ ไม่มีแรงสั่นสะเทือน และไม่มีควันจากท่อไอเสีย ไม่ต้องเติมน้ำมันหรือน้ำให้เลอะเทอะและเสี่ยงต่ออันตราย มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงเห็นด้วยกับผมว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมสูงสุด
เกิดอะไรขึ้น ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าแทบจะสูญพันธุ์
แน่นอนว่าถ้ารถยนต์ไฟฟ้าดีกว่ารถยนต์ประเภทอื่นในทุกด้าน รถยนต์ใช้น้ำมันคงไม่ได้รับความนิยมอย่างที่เห็นในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา จุดอ่อนหลักของรถไฟฟ้าในอดีตคือ ระยะทางที่รถใช้ไฟฟ้าจะเดินทางได้ต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง และความเร็วที่ไม่สูงมาก ในช่วงปี 1900 ถนนที่ได้รับการปูก็จะอยู่แต่ในตัวเมืองซึ่งมีระยะทางไม่ยาวมากนัก เพราะฉะนั้นช่วงเริ่มต้นของการใช้รถยนต์จึงเป็นการใช้ในเมือง ทำให้จุดอ่อนจุดนี้ของรถไฟฟ้าไม่ได้ถูกนำมาเป็นประเด็น
แต่หลังจากที่มีการสร้างถนนออกนอกเมืองมากขึ้น จึงทำให้ระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มมีขีดจำกัดสำหรับการเดินทางระยะไกล ส่วนแบตเตอรี่ในช่วงนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้รถสามารถใช้ในการเดินทางระยะไกลได้ และความเร็วของรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังต่ำกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันมาก นักประดิษฐ์ โทมัส เอดิสัน ลงทุนไปกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์ในสมัยนั้น เพื่อจะพัฒนาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ แต่หลังจาก 10 ปีกว่าเอดิสันต้องยอมยกธงขาว เพราะไม่สามารถทำให้แบตเตอรี่ดีพอที่จะแก้จุดอ่อนของรถไฟฟ้าได้
นอกจากนั้นยังมีอีก 2 ปัจจัยที่เหมือนเป็นตะปูตอกโลงรถยนต์ไฟฟ้า ปัจจัยแรกคือการออกจำหน่ายรถฟอร์ดโมเดล T ซึ่งเป็นการปฏิวัติการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์ ทำให้เกิดการผลิตแบบ Mass และเกิด Economies of Scales ทำให้ราคารถโมเดล T ถูกลงอย่างมาก และทำให้คนทั่วไปจับต้องได้ ราคาของรถโมเดล T อยู่ที่ 260 ดอลลาร์สหรัฐ แต่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ราคา 1,750 ดอลลาร์สหรัฐ แพงกว่าโมเดล T เกือบ 7 เท่า!
เกร็ดเล็กน้อยที่ทำให้รถฟอร์ดโมเดล T ราคาถูกกว่าคู่แข่งเยอะมาก เพราะ เฮนรี ฟอร์ด ยึดมั่นกับหลักการ Economies of Scale มาก โดยเขาเคยพูดว่า “ลูกค้าสามารถเลือกสีของโมเดล T เป็นสีอะไรก็ได้ ถ้าสีนั้นคือสีดำ” ซึ่งการที่ไม่มีตัวเลือกให้ลูกค้าเลย ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าคู่แข่งมาก
ปัจจัยที่ 2 คือการค้นพบน้ำมันในรัฐเท็กซัสและโอคลาโฮมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จึงส่งผลให้น้ำมันมีราคาถูกลงมาก จึงทำให้การใช้งานรถยนต์ อย่างเช่น รถฟอร์ดโมเดล T ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างสูง
จากเหตุผลต่างๆ ที่ได้กล่าวมา เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รถไฟฟ้าแทบจะไม่มีให้เห็นบนท้องถนนเลย
แล้วทำไมรถยนต์ไฟฟ้าถึงจะกลับมาทดแทนรถยนต์ใช้น้ำมันในช่วงนี้
ในบทความหน้าเราจะเจาะรายละเอียดของอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าว่าทำไมรถไฟฟ้าถึงจะเป็นรถแห่งอนาคต และนักวิเคราะห์คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมาทดแทนรถพลังงานสันดาป เหมือนกับที่รถยนต์ไปทดแทนรถม้าภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งถ้าเราเปรียบเทียบมูลค่าทางตลาดของบริษัท Tesla จะเห็นได้ว่ามีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เทียบกับบริษัทรถยนต์ทั่วไปอย่าง เช่น Toyota, Volkswagen และ Daimler สะท้อนให้เห็นถึงการที่นักลงทุนมองว่า Tesla จะก้าวเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตอันใกล้ ถึงแม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันจะเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 4.2 ของยอดขายรถยนต์ทั้งโลก (ปี 2020)
แต่ปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นรถยนต์แห่งอนาคตมาจากการหันมาเพิ่มความใส่ใจต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน การที่รัฐบาลหลายแห่งจะให้หยุดจำหน่ายรถยนต์พลังงานสันดาปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และสำคัญที่สุดคือประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่ปิดจุดอ่อนของรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนที่ทำให้การเดินทางระยะไกลไม่เป็นปัญหา รวมถึงสมรรถนะรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกตัวไว มีความเร็วเหมือนรถสปอร์ต อย่างเช่น รถ Ferrari แถมยังมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในบางรุ่น ทำให้ภาพลักษณ์ของรถ EV ที่เป็นรถของสุภาพสตรีเอาไว้ใช้ไปช้อปปิ้งใกล้ๆ ในตัวเมือง ค่อยๆ ลบเลือนจากความทรงจำไป
ผมขอทิ้งท้ายว่า ถึงแม้รถยนต์ไฟฟ้าจะพ่ายแพ้รถยนต์ ICE ในอดีตที่ผ่านมา แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลง
The Future is Bright, The Future is Electric.
อ้างอิง:
- Bnomics