×

จีจี้ BNK48 มิตรภาพ การเติบโต และตัวตนภายใต้เสียงหัวเราะ

05.02.2021
  • LOADING...
จีจี้ BNK48

HIGHLIGHTS

  • จีจี้คือหนึ่งในสมาชิก BNK48 รุ่น 2 ที่คว้าชัยชนะจากการแข่งขัน Janken Tournament 2020 และได้รับตำแหน่งเซ็นเตอร์เป็นครั้งแรกในซิงเกิลอัลบั้มชุดที่ 3 ในชื่อ Warota People
  • การได้เป็นหนึ่งในสมาชิก BNK48 ทำให้จีจี้ได้พบว่าตัวเองชื่นชอบที่จะเป็นไอดอล เพราะมันคือตัวตนของเธอจริงๆ ขณะเดียวกันจีจี้ก็นิยามความสัมพันธ์ของวง BNK48 ด้วยคำว่า ‘ครอบครัว’
  • จีจี้รู้สึกว่าการอยู่แถวหลังทำให้แฟนคลับมองไม่เห็นเธอ เธอจึงมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะออกไปยืนแถวหน้าให้แฟนคลับได้มองเห็นเธอชัดๆ ต่อมา หลังจากจบการแข่งขัน BNK48 Janken Tournament 2020 ตำแหน่งเซ็นเตอร์ทำให้จีจี้รู้สึกอึดอัด เพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมาไกลขนาดนี้ แต่เมื่อเธอได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆ ในวงก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น และจะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

“หนูจะพัฒนาตัวเองและสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนค่ะ”

 

หนึ่งประโยคสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันแรงกล้าประโยคนี้คือคำพูดที่ จีจี้-ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล หนึ่งในสมาชิก BNK48 รุ่นที่ 2 เคยกล่าวเอาไว้ผ่านรายการ BNK48 Senpai 2nd Generation ซึ่งในเวลานั้นเธอเป็นเพียงหญิงสาวอารมณ์ดีคนหนึ่งที่ยังไม่มีใครมองเห็นเท่าไรนัก เสมือนว่าเธอกำลังยืนส่งยิ้มให้ทุกคนอยู่ ณ มุมมืดมุมหนึ่งของเวทีที่แสงสปอตไลต์ส่องมาไม่ถึง

 

เมื่อวันเวลาผ่านไป เราเริ่มพบเห็นภาพและคลิปวิดีโอของจีจี้ที่ใช้ ‘เสียงหัวเราะ’ สร้างความสุขให้กับแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับเรื่องราว ‘การพัฒนาตัวเอง’ ของเธอที่ค่อยๆ ก้าวออกมาจากมุมมืดที่ไม่มีใครมองเห็น สู่หนึ่งในสมาชิกที่คอยสร้างสีสันให้กับผู้ชมในเธียเตอร์ สู่ตำแหน่งเซ็มบัตสึแถวหลัง 

 

และตอนนี้เธอได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์คนใหม่ในซิงเกิลอัลบั้มชุดที่ 3 Warota People (หัวเราะเซ่) จากการเป็นผู้ชนะในงาน BNK48 Janken Tournament 2020 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2563

 

THE STANDARD POP จึงถือโอกาสชวนจีจี้มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับการรับตำแหน่งเซ็นเตอร์คนใหม่ในซิงเกิล Warota People รวมถึงเรื่องราวมิตรภาพ การเติบโต และการเดินทางตลอด 3 ปีบนเส้นทางสายไอดอล เพื่อสำรวจตัวตนของเธอภายใต้ ‘เสียงหัวเราะ’ ที่เราคุ้นเคย 

 

จีจี้ BNK48

 

เราค้นพบว่า BNK48 ไม่ได้มีแค่การร้องและการเต้น แต่พวกเขาสามารถเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆ คนได้ สามารถกระจายความสุขให้กับคนอื่นได้ มันจึงทำให้เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้นจริงๆ เราอยากจะเป็นคนที่สามารถมอบพลังบวกให้กับคนอื่นได้เหมือนพวกเขา

 

ในวัยเด็ก ถ้ามีคนถามว่า ‘ความฝันของจีจี้คืออะไร’ จะตอบว่า…

ถ้าเป็นความฝันแรกสุดเลย หนูอยากเป็นหมอ เพราะว่าตอนเด็กๆ หนูอยากรักษาคนในครอบครัว แต่หนูเป็นคนกลัวเลือด กลัวเข็ม กลัวหลายๆ อย่างเกี่ยวกับหมอ ความฝันนี้จึงค่อยๆ หายไป อาจจะด้วยความที่ยังเด็ก ความฝันตอนนั้นก็เลยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนมาช่วงมัธยมปลาย หนูได้ไปเรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์กับติวเตอร์ที่เป็นวิศวกรไฟฟ้า แล้วปรากฏว่าหนูเก่งคณิตขึ้นเยอะมาก เริ่มตอบคำถามในห้องได้ ทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น หนูก็เลยอยากจะเป็นวิศวกรไฟฟ้าเหมือนกับเขา ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าความชอบแบบนี้มันคือแบบไหน เราชอบที่เราอยากเก่งเหมือนเขา เราเห็นเขาเป็นไอดอลหรือเปล่า ตอนนั้นเลยยังสับสนอยู่

 

แล้วช่วงนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ BNK48 ประกาศรับสมัครรุ่น 2 พอดี พี่ของหนูจึงแนะนำให้ลองไปออดิชันดู เพราะเขาเห็นว่าเราชอบวงการบันเทิง มันน่าจะเหมาะกับเรา ซึ่งความจริงเราก็ไม่ได้ชอบวงการบันเทิงขนาดนั้นนะ เพราะสำหรับเรามันค่อนข้างเป็นเส้นทางที่ไปถึงยาก มันจึงเป็นจุดที่เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะเอาอย่างไรดี จะมาสายเรียนไปเลยดีไหม เพราะหนูอยากจะโฟกัสกับอะไรสักอย่างเพื่อเป็นหลักในชีวิตในช่วง 3 ปีนี้ หลังจากนั้นก็ติด BNK48 พอดี

 

ทำไมตอนนั้นจีจี้ถึงตัดสินใจสมัครตามที่พี่แนะนำ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ติดตาม BNK48 หรือ AKB48 มาก่อน

ปกติหนูกับพี่มักจะปรักษากันทุกเรื่องอยู่แล้ว ช่วงนั้นหนูไปปรึกษาพี่ว่าเราจะเรียนสายวิทย์ไปจนถึงวิศวกรรมไฟฟ้าแบบจริงจังดีไหม เขาถามหนูกลับมาว่าชอบมันจริงๆ หรือเปล่า เพราะเวลาที่เขาเห็นเราเต้นหรือร้องเพลง เขารู้สึกว่าเรามีความสุขในการทำสิ่งเหล่านั้น เหมือนเขาจะมองเห็นเราในมุมที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเลยพูดขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้นลองสมัครดูไหม ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ร้อง ได้เต้น หนูเลยคิดว่าลองสมัครดูก็ได้ เพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าเราจะลองทำ

 

ด้วยความที่ไม่ได้ติดตาม BNK48 มาก่อน หนูจึงเริ่มศึกษาว่าวงนี้เป็นอย่างไร จำได้ว่าตอนนั้นหาข้อมูลหนักหน่วงมาก เพราะอยากรู้ว่าถ้าสมมติเราได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ จะเป็นอย่างไร แล้วก็ค้นพบว่า BNK48 ไม่ได้มีแค่การร้องและการเต้น แต่พวกเขาสามารถเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆ คนได้ สามารถกระจายความสุขให้กับคนอื่นได้ มันเลยทำให้เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้นจริงๆ เราอยากจะเป็นคนที่สามารถมอบพลังบวกให้กับคนอื่นได้เหมือนพวกเขา

 

ซึ่งหนูรู้สึกโชคดีนะที่เข้ามาเป็น BNK48 เพราะมันทำให้ค้นพบว่าตัวเองชอบที่จะอยู่ตรงนี้มากกว่าการไปเรียนวิศวกรรมไฟฟ้า เหมือนตอนนั้นเราแค่อยากเป็นวิศวกรไฟฟ้าตามเขามากกว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะอยู่กับมันในชีวิตการทำงาน หรือเราสามารถมอบทั้งหมดของเราให้กับมันได้จริงๆ

 

จีจี้ BNK48

จีจี้ในชุดเซ็มบัตสึซิงเกิล ฤดูใหม่

ภาพ: Gygee BNK48 / Facebook

 

 

ฤดูใหม่ ซิงเกิลเปิดตัวสมาชิกรุ่นที่ 2

 

จีจี้คือหนึ่งในสมาชิกรุ่น 2 ที่ติดเซ็มบัตสึซิงเกิล ฤดูใหม่  ประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ค่อนข้างกดดันอยู่เหมือนกันนะ พอเรามาเป็น BNK48 มันก็มีหลายๆ คนที่คาดหวังในตัวเรา แล้วเราก็อยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนที่ติดตามหรือว่าเด็กๆ ที่กำลังดูเราอยู่ มันจึงทำให้หนูรู้สึกว่าการฝึกซ้อมกับตัวเองคือสิ่งสำคัญ อย่างเมื่อก่อนถ้ามีคนยื่นไมค์มาให้ หนูจะปากสั่นมือสั่นโดยอัตโนมัติเลย หรือรายการไหนบอกว่าจะมีการเต้น มีการแนะนำตัว หนูก็ต้องการแค่นั้นจริงๆ ถ้ามากกว่านี้หนูจะเริ่มกลัว หนูเลยต้องไปไล่ดูคลิปของพี่ๆ รุ่น 1 เพื่อศึกษาว่าพวกเขาสื่อสารกันอย่างไร แล้วช่วงแรกๆ หนูพูดเร็วมากจนแฟนคลับบอกว่าทำไมน้องพูดไวจัง ฟังไม่รู้เรื่องเลย เราก็นำคำเหล่านั้นมาปรับไปเรื่อยๆ

 

รวมถึงการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะเวลาที่เราพูดมันจะกระจายไปหมด ต้องมีสติ ต้องคิดเยอะๆ ก่อนที่จะทำอะไร ยิ่งตอนนั้นเรายังเด็กมากๆ ก็เลยต้องปรับตัวเยอะพอสมควร พอเรามีความมั่นใจในการพูดมากขึ้น ความกดดันมันก็จะน้อยลง 

 

หลายสัปดาห์ก่อนเราได้ย้อนดูไลฟ์ของ วี (วีรยา จาง สมาชิกรุ่นที่ 2) ที่กลับมานั่งดูมิวสิกวิดีโอ ฤดูใหม่ แล้วจู่ๆ วีก็ร้องไห้ จีจี้ได้กลับไปดูมิวสิกวิดีโอตัวนี้บ้างหรือเปล่า

ดูค่ะ ล่าสุดเพิ่งดูไปเมื่อคืนเลย จริงๆ มันก็เป็นความรู้สึกที่จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออกเนอะ เพราะมีเพื่อนเราหลายคนที่อยู่ในมิวสิกวิดีโอแล้วเขาจบการศึกษา (ลาออกจากวง) ออกไป บางคนเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรก แต่เราอาจจะโตขึ้นด้วย อย่างตอนที่เพื่อนเราจบการศึกษาออกไปคนแรก เรารู้สึกเหมือนจะขาดใจเลยนะ เพราะเราไม่ชอบการจากลาเท่าไร แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ เราก็เรียนรู้ว่ามีพบเจอก็ต้องมีจากลา แล้วถึงออกไปเราก็ยังติดต่อกันได้อยู่ดี พอย้อนกลับไปดูมิวสิกวิดีโอ ฤดูใหม่ อีกรอบก็รู้สึกว่าหลายๆ คนเติบโตขึ้นมาก บางคนก็ได้เจอเส้นทางใหม่ที่ตัวเองชอบแล้ว 

 

จีจี้ในเวลานั้นกับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน

รู้สึกว่าทัศนคติหรือการมองอะไรต่างๆ ของหนูเหมือนเดิมนะ แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้น เราคิดมากขึ้นในการพูดแต่ละอย่าง เหมือนเราได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง อะไรที่มันไม่ดีเราก็ปรับมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น มันทำให้หนูมีความมั่นใจมากขึ้น

 

แฟนคลับก็เคยมาบอกว่าแววตาของหนูดูโตขึ้น เพราะว่าแววตาหนูในตอนนั้นแป๋วมาก และตอนที่กลับมานั่งดูมิวสิกวิดีโอ ฤดูใหม่ อีกรอบ วีก็บอกหนูว่าทำไมจีจี้ตาแป๋วจัง หนูเลยคิดว่าแววตาหนูเปลี่ยนไป แต่หนูก็รู้สึกว่ายังเป็นคนเดิมนะ เหมือนเราค่อยๆ เรียนรู้และโตขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัว 

 

จีจี้ BNK48

 

หนูตกลงกับตัวเองว่าถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราก็มีเวลาในการพัฒนาตัวเองมากขึ้น เราบอกกับตัวเองเสมอว่าเราจะพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน เพื่อให้เราพร้อมที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง

 

หลังจาก ฤดูใหม่ จีจี้ก็ไม่ติดเซ็มบัตสึซิงเกิลหลักถึง 2 ซิงเกิลคือ BNK Festival และ Beginner ช่วงเวลานั้นทำให้จีจี้ค้นพบอะไรบ้าง

มันทำให้หนูได้ทบทวนตัวเองหลายๆ อย่างเหมือนกัน เช่น ทำไมเราถึงไม่ติด เราต้องพยายามขนาดไหนถึงจะไปอยู่ตรงนั้นได้ แล้วใครจะรู้บ้างล่ะว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเราพยายามขนาดไหน บางทีเวลาหนูเห็นกระแสในโซเชียลที่บอกว่าคนนั้นคนนี้ไม่พยายามเลย หนูโกรธมากเลยนะที่บอกว่าเพื่อนหนูหรือใครก็ตามไม่พยายาม เพราะเรารู้สึกว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีความพยายามในแบบของตัวเองหมด

 

อีกอย่างคือหนูค้นพบว่าการติดเซ็มบัตสึมันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างมากๆ ทั้งความพร้อม ตัวเพลง แล้วก็จังหวะที่เหมาะสมของมัน ซึ่งหนูว่าเรื่องจังหวะที่เหมาะสมมันคือสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ หนูจึงตกลงกับตัวเองว่าถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราก็มีเวลาในการพัฒนาตัวเองมากขึ้น เราบอกกับตัวเองเสมอว่าเราจะพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน เพื่อให้เราพร้อมที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง 

 

พอจะยกตัวอย่างได้ไหมว่าตอนนั้นจีจี้ทำอะไรบ้าง

เราพยายามทำคอนเทนต์ของตัวเองในพื้นที่สื่อที่ทุกคนล้วนมีอยู่แล้ว เช่น เราจะไลฟ์อย่างไรให้น่าสนใจ ถึงแม้ว่าคนที่มาดูอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้าเราเริ่มจากส่วนน้อยแล้วค่อยๆ ให้คนบอกต่อกันไปปากต่อปากเหมือนการขายของ ถ้ามันอร่อยคนก็บอกต่อ ถูกไหมคะ ถ้าเราไลฟ์สนุก ตลก สร้างพลังบวกให้ใครหลายๆ คนได้ เมื่อคนที่เข้ามาดูเขาได้รับพลังมา เขาก็จะแชร์ต่อไป 

 

หรืออย่างในเธียเตอร์ที่หนูได้รับโอกาสให้เป็น MC ตอนแรกหนูก็ค่อนข้างกดดัน แต่พอได้ลองทำจริงๆ ทำให้หนูรู้สึกว่านี่คือตัวเราเลย เรารู้ว่าเวลานี้เราควรพูดตอนไหน ถ้าเราพูดตรงนี้คนน่าจะขำ ซึ่งฟีดแบ็กของคนดูก็ค่อนข้างดี เราจึงได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่เป็น MC มากขึ้น แล้วมันก็ทำให้คนได้รู้จักเรามากขึ้นด้วย

 

จีจี้ BNK48

 

Jabaja ซิงเกิลอัลบั้มชุดที่ 2 

 

ดูเหมือนสิ่งที่จีจี้เล่ามาจะเริ่มเห็นผล เพราะหลังจากนั้นจีจี้ก็ติดเซ็มบัตสึอย่างเป็นทางการในซิงเกิลอัลบั้มชุดที่ 2 Jabaja บรรยากาศวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

คือปกติเวลาประกาศเซ็มบัตสึ เขาจะชอบเซอร์ไพรส์ในงานจับมือ ซึ่งเราไม่ได้เอาตัวเองเป็นตัวเลือกในนั้นอยู่แล้ว เราเลยไม่ได้คาดหวังว่าเราจะติดเท่าไร จนมาถึงตอนที่ประกาศซิงเกิล Jabaja เราก็ทำตัวเหมือนเดิม แต่กลายเป็นว่ามีหน้าเราอยู่ตรงนั้น หนูก็ช็อกแบบอ้าปากค้าง ทำตัวไม่ถูกเลย

 

หลังจากรู้ว่าตัวเองติดแล้ว มันก็ทำให้เราแฟลชแบ็กกลับไปถึงซิงเกิลที่ผ่านๆ มาเหมือนกันนะ เราบอกกับตัวเองตลอดว่าสู้ๆ นะ อดทนต่อไปนะ ทำตัวให้พร้อม เดี๋ยวมันก็มีโอกาสเข้ามาเอง พอโอกาสมันมาจริงๆ เราก็รู้สึกว่าเราพร้อมแล้วที่จะรับโอกาสนี้

 

จากนั้นจีจี้ก็ติดเซ็มบัตสึซิงเกิลหลักมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 77 ดินแดนแสนวิเศษ, High Tension รวมถึงอันดับครั้งแรกในงาน General Election ครั้งที่ 2 (อันดับที่ 23) ไม่มั่นใจว่าเป็นช่วงนี้หรือเปล่าที่จีจี้เคยให้สัมภาษณ์ว่าการยืนอยู่แถวหลังคือเซฟโซนของตัวเอง 

อาจเป็นเพราะตอนนั้นเราไม่ได้เต้นเก่งหรือร้องเพลงเก่ง หรือถ้าให้คิดภาพว่าเราจะไปอยู่ข้างหน้า เราก็กลัวว่าตัวเองจะสื่อสารเพลงออกมาไม่ดี แล้วเราคิดว่าตัวเองคงจะไปไม่ถึงตรงนั้น แต่ถ้าเราอยู่แถวหลังหรือตรงกลาง พอเรามองไปรอบๆ เรายังมีเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าหรืออยู่ข้างๆ มันเลยทำให้เรารู้สึกสบายใจ

 

แต่การอยู่แถวหลังมันก็ทำให้แฟนคลับเขามองไม่เห็นเราเหมือนกัน อย่างเวลาออกงาน 16 คน แฟนคลับที่เขาชอบถ่าย Fancam ก็มักจะหาเราไม่เจอ คอยตามหาว่าเราอยู่ตรงไหน บางทีถ่ายๆ อยู่กล้องหลุด เพราะหาเราไม่เจอ มันก็เลยทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น เพราะแฟนคลับก็คอยซับพอร์ตเรามาตลอด ถ้าวันไหนที่เราได้ไปอยู่ข้างหน้า พวกเขาก็คงจะภูมิใจในตัวเรา หนูเองก็อยากให้พวกเขามองเห็นหนูเยอะๆ เหมือนกัน 

 

ซึ่งในท้ายที่สุดจีจี้ก็สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์ในงาน Janken Tournament 2020 ได้สำเร็จ มุมมองของแถวหลังกับแถวหน้ามันแตกต่างกันไหม

หนูว่าต่างนะ ตอนที่อยู่ข้างหลังหนูก็แค่สนุกไปกับเพลงให้มากที่สุด ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกๆ คนอย่างที่ควรจะสื่อสารออกไป พยายามทำออกมาให้เต็มที่ในจุดที่เรายืน แต่พอเป็นเซ็นเตอร์ปุ๊บ มันกลายเป็นว่าเราเองนี่ล่ะคือคนที่ต้องถ่ายทอดเพลงออกไป เพราะว่าเรายืนตรงนี้ คนอื่นๆ ก็จะทำตามเรา เราจึงเป็นคนที่ต้องสื่อสารเพลงออกมาให้ดีที่สุด เราอยากให้เพลงเป็นแบบไหน เราก็ต้องสื่อสารออกมา แล้วเราก็เป็นคนที่แบกรับภาพรวมหลายๆ อย่าง 

 

จีจี้ BNK48

 

บางคนอาจจะบอกว่าหนูห้ามตลก หนูต้องไปสายสวย หนูต้องไปสายหล่อ คือหนูสามารถทำได้นะ แต่ถามว่าหนูมีความสุขกับมันไหม ก็ไม่ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับมาเป็นตัวเองอยู่ดี เพราะมันคือตัวเราเอง แต่ละคนต่างมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองที่คนอื่นก็มาเป็นเราไม่ได้

 

ครั้งแรกที่ได้ยินเพลง Warota People เป็นอย่างไรบ้าง

งง (ตอบทันที) ภาษาญี่ปุ่นก็ฟังไม่รู้เรื่อง พอเราไปเสิร์ชดูก็ยังรู้สึกงงว่าเขาเต้นอะไรกัน งงหลายต่อมาก แต่พอเริ่มมีเนื้อร้อง รู้คำแปลมากขึ้น หนูก็รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่แหวกแนวดีเนอะ รู้สึกเป็นเพลงที่ค่อนข้างเหมาะกับคาแรกเตอร์ของตัวเองเหมือนกัน 

 

แล้วตัวมิวสิกวิดีโอมันมีหลายมู้ดด้วย ซึ่งหนูเป็นคนที่มีหลายอารมณ์ ตลก บางทีก็เฟียร์ซด้วย แล้วแต่อารมณ์ในแต่ละวัน หนูเลยคิดว่ามิวสิกวิดีโอ Warota People มันถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของเราหลายๆ อย่างให้คนได้เห็นภายในเพลงเดียว ก็รู้สึกว่าคุ้มดี

 

ถ้าให้เลือกสักท่อนหนึ่งของเพลงที่นิยามตัวตนของจีจี้

ท่อนที่ร้องว่า “ปัญหามีตั้งเยอะ เรื่องตั้งแยะคิดทำไม อยู่ที่ใจเลือกจะคิด เลือกจะแคร์ เลือกกันไป ถ้าไม่คิดให้วกวนนักก็เข้าใจซะ แค่เข้าใจ เรื่องมากไป ถ้ายังเยอะ ถ้าเรื่องยังแยะก็แค่โยนไป”

 

เพราะเวลาที่เราเจอเรื่องอะไรมา เราจะเป็นคนที่กำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปได้ดี การอยู่ตรงนี้มันมีกระแสหลายๆ อย่างเข้ามาค่อนข้างเยอะ ถ้าเรามูฟออนไม่ได้มันก็ดาวน์เหมือนกัน ทุกวันนี้เลยเป็นคนที่ไม่ค่อยเครียดกับสิ่งที่เจอเท่าไร

 

หนูรู้สึกว่าปัญหามีตั้งเยอะ เรื่องตั้งแยะ คิดทำไม คือมันก็คิดได้นะ แต่เราก็ต้องเข้าใจมันด้วย เรียนรู้แล้วก็แก้ไขในสิ่งที่เราทำได้ เพราะกระแสที่เข้ามามันมีทั้งคนที่อยากให้เราพัฒนาขึ้นจริงๆ กับอยากให้เราเสียการเป็นตัวเองไปเลยก็มี 

 

บางคนอาจจะบอกว่าหนูห้ามตลก หนูต้องไปสายสวย หนูต้องไปสายหล่อ คือหนูสามารถทำได้นะ แต่ถามว่าหนูมีความสุขกับมันไหม ก็ไม่ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับมาเป็นตัวเองอยู่ดี เพราะมันคือตัวเราเอง เราเป็นตัวเองแล้วเราไม่อึดอัด และเราก็รักตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ละคนต่างมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองที่คนอื่นก็มาเป็นเราไม่ได้ 

 

จีจี้ BNK48

 

การได้เป็นเซ็นเตอร์ใช่ว่ามันจะไม่อึดอัดนะ เราชนะมากี่คน แล้วเขาจะมองเราอย่างไร แต่รีแอ็กชันของทุกคนคือเดินเข้ามากอดเรา มาบอกเราว่าเจ๋งว่ะ เหมาะสมแล้วนะ ทำหน้าที่แทนพี่ด้วย มันทำให้ความอึดอัดของเราลดลง เราจึงอยากทำตรงนี้ให้ดี เพราะทุกคนฝากฝังไว้ที่เรา

 

งาน Janken Tournament 2020 คือการแข่งขันเป่ายิงฉุบเพื่อหาผู้ชนะ เมมเบอร์ทุกคนจึงเปรียบเสมือนคู่แข่งกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมากๆ ของ BNK48 จีจี้ต้องวางตัวแบบไหนในบรรยากาศแบบนี้

เมื่อเราแข่งขันกัน ทุกคนก็ต้องอยากชนะถูกไหมคะ แต่พอสุดท้ายแล้วถ้าแพ้เราก็กอดกัน เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม มันไม่มีใครผิด การที่เราชนะเราผิดเหรอ มันก็ไม่ใช่ 

 

หลังจากที่ผลออกมาว่าหนูได้เป็นเซ็นเตอร์ หนูก็ทำตัวไม่ถูก เพราะเราไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเอาชนะ การได้เป็นเซ็นเตอร์ใช่ว่ามันจะไม่อึดอัดนะ เราชนะมากี่คน แล้วเขาจะมองเราอย่างไร แถมหนูใส่ชุดกระทิงมาแข่งอีก แต่รีแอ็กชันของทุกคนคือเดินเข้ามากอดเรา มาบอกเราว่าเจ๋งว่ะ เหมาะสมแล้วนะ ทำหน้าที่แทนพี่ด้วย มันทำให้ความอึดอัดของเราลดลง เราจึงอยากทำตรงนี้ให้ดี เพราะทุกคนก็ฝากไว้ที่เรา 

 

มีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ไม่ได้ขึ้นมาเป็นเซ็มบัตสึกับเราไหม 

(คิดนาน) ก็อยากขอโทษ ไม่เชิงขอโทษสิ คือเกือบทุกครั้งที่หนูติดเซ็มบัตสึ หรือเป็นเซ็นเตอร์ หรืออะไรก็ตามแต่ หนูมักจะคิดว่าหนูควรจะรู้สึกอย่างไร มันหลายความรู้สึกมาก ถามว่าดีใจไหมที่ได้ตรงนี้ มันก็ดีใจ แต่เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ติด แล้วเราจะไปพูดกับเพื่อนอย่างไร มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างสับสน แล้วยิ่งหนูขี้เกรงใจ หนูก็เลยพูดไม่ถูกเหมือนกัน

 

แต่เมื่อเราได้มาอยู่ตรงนี้แล้วก็อยากจะบอกกับทุกคนว่าเราก็จะทำให้เต็มที่ เราจะถ่ายทอดเพลงนี้ออกไปให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ให้สมกับโอกาสที่เราได้รับมา แล้วหนูคิดว่ามันยังมีอีกหลายโอกาสที่จะได้มาเป็นเซ็มบัตสึ เพราะว่ารอบนี้มันขึ้นอยู่กับดวงด้วย ก็อยากให้ทุกคนสู้ๆ 

 

พูดยากอะ รักทุกคนนะ 

 

 

จีจี้ BNK48

BNK48 Janken Tournament 2020

ภาพ: BNK48 / Facebook

 

ถ้าให้นิยามความสัมพันธ์แบบนี้ มิตรภาพแบบนี้ จีจี้จะนิยามมันว่าอะไร 

(คิดนาน) หนูนึกออกแค่คำเดียว คือหนูรู้สึกว่า BNK48 คือคำว่า ‘ครอบครัว’ 

 

เป็นครอบครัวที่รู้สึกว่าไม่ว่าคนในนี้จะต้องเจออะไร แต่เมื่อไรที่กลับมา เราจะยังมีคนกลุ่มนี้ที่เข้าใจเรา เพราะว่าคนภายนอกเขาไม่มีทางเข้าใจคนที่อยู่ข้างในอยู่แล้ว พอเราเหนื่อย เรามองหน้ากัน เรารู้ทันที เพราะเราเหนื่อยเหมือนกัน หนูรู้สึกว่าคนภายนอกอาจจะมองว่าเราแข่งกัน แต่ข้างในเรารักกันมากเลยนะ

 

สมมติว่าบ้านเรามีพี่น้องใช่ไหมคะ มันก็ต้องทะเลาะกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ตัดกันไม่ขาด เพราะมันคือครอบครัว เพราะมันคือ 48 เราทะเลาะกันก็เหมือนการแข่งขันในวง ถึงเราจะทะเลาะ แต่สุดท้ายแล้วเราก็รักในวงเดียวกัน เราก็รักในครอบครัวนี้ เพราะสุดท้ายเราก็คือครอบครัวเดียวกัน 

 

จีจี้ BNK48

 

ในรายการ BNK48 Senpai 2nd Generation จีจี้เคยบอกว่า “จะพัฒนาตัวเองและสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน” ตอนนี้เราถือว่าจีจี้ทำสิ่งที่ตัวเองบอกไว้สำเร็จแล้ว ถ้าสมมติว่าตอนนี้มีตัวเราอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ อยากจะขอบคุณผู้หญิงที่ชื่อ จีจี้-ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล ที่ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดมาถึงตรงนี้ว่าอะไร 

อยากขอบคุณเยอะเลย คือเส้นทางมันไม่ได้เรียบง่ายจริงๆ กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ใช้คำว่าโคตรเลย โคตรเหนื่อย เหนื่อยมาก 

 

อยากจะขอบคุณตัวเองที่กล้าก้าวข้ามอะไรหลายๆ อย่างที่เรากลัว แล้วก็กำจัดสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราจะไม่รักตัวเอง ขอบคุณที่ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยขนาดไหน เราก็ยังหาอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ว่าขอบคุณที่เติบโตมาอย่างดีแล้วกัน 

 

รับชมมิวสิกวิดีโอ Warota People ได้ที่นี่

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE



Latest Stories

Close Advertising