×

‘นินทาท่านผู้นำ’ ถอดบทเรียนภาวะผู้นำจากตัวละครในโลกบันเทิง

28.04.2021
  • LOADING...
นินทาท่านผู้นำ

‘ภาวะผู้นำ’ ที่ยอดเยี่ยม คือสิ่งที่ประชาชนโหยหาเรียกร้องในทุกวิกฤตสำคัญของชีวิตและสังคม เช่นเดียวกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบล่าสุดที่ประชาชนกำลังต้องการผู้นำรัฐที่จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นและสร้างศรัทธาให้ได้ ว่าแต่ ‘ภาวะผู้นำที่ดี’ นั้นเป็นเช่นใดกันเล่า THE STANDARD POP ถือโอกาสนี้พาไปดูตัวละครในภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ และแอนิเมชัน ฯลฯ นินทาผู้นำของพวกเขา เพื่อที่เราจะได้ถอดบทเรียนพร้อมๆ กับสื่อสารไปถึงท่านผู้นำในชีวิตจริง เผื่อว่าท่านจะได้เรียนรู้และแก้ไขตัวเองได้บ้างในช่วงเวลาสำคัญของชาติเช่นตอนนี้ 

 

 

เหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง คือสถานที่ที่อาจินต์ต้องจากบ้านมาใช้แรงกาย เผชิญกับความยากลำบาก ได้สัมผัสกับความเหงา ความว้าเหว่ การสูญเสีย และสำคัญที่สุดคือการได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต รวมไปถึงมิตรภาพ ที่เด็กหนุ่มวัยเริ่มต้นชีวิตอย่างเขาไม่เคยประสบมาก่อน จวบจนเมื่อใช้ชีวิตดำเนินจากปีที่ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย อาจินต์ได้ค้นพบว่ามันคือ 4 ปีที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ซึ่งไม่มีทางหาได้จากรั้วมหาวิทยาลัยไหน

‘เหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง’ ไม่มีใบปริญญามอบให้ มีแต่เกียรติยศและความภาคภูมิใจส่วนตัวมอบไว้ให้เมื่อหันหลังจากมา… 

 

อาจินต์เรียนรู้ถึงภาวะผู้นำจาก มหา’ลัย เหมืองแร่ ภาพยนตร์แนวดราม่า-คัมมิ่งออฟเอจ จิระ มะลิกุล รับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ ดัดแปลงจากหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด เหมืองแร่ ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนระดับบรมครูของวงการวรรณกรรมไทย ที่ได้บรรยายผ่านตัวอักษรถึงนายฝรั่ง ผู้ที่เปรียบเสมือนอธิการบดีแห่ง มหา’ลัย เหมืองแร่ เอาไว้ในว่า

 

“ในมโนภาพ ข้าพเจ้าเห็นแกเสมอ…แกชื่อมิสเตอร์แซม เป็นฝรั่งเหมืองแร่คนเดียวในโลกที่นุ่งกางเกงขายาวทำงาน ล่ำใหญ่ สูง 6 ฟุต ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงผ้าเนื้อหนักสีเทา รองเท้าโลตัสสีน้ำตาลแข็งแรงบึ้กบั้กราวกับกระดาน สวมหมวกทหารออสเตรเลียคร่ำคร่าปีกกว้างหยิบร่องตรงกลาง 

 

“แกเป็นเทพบุตรแห่งการทำงาน ครั้งหนึ่งเรือขุดของเราเสียหายอย่างหนัก นายฝรั่งอยู่คุมงานเป็นเวลาถึง 72 ชั่วโมงเต็ม ไม่หลับนอน ในมโนภาพ ข้าพเจ้ายังจำแววตาใจดีและการเป็นผู้ให้ของแกได้ นายฝรั่งของข้าพเจ้าเป็นนักให้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครใจกว้างอย่างอินฟินิตีเช่นนี้ แกเป็นแบบฉบับชีวิตอันวิเศษที่ข้าพเจ้ายึดถือไว้ ความอดทน ความสุขุม ความเฉลียวฉลาด ความรักสนุก ความใจดี แกเป็นฮีโร่ของข้าพเจ้า แกจะตายไปพร้อมชีวิตของข้าพเจ้า แม้ว่าแกจะแก่กว่าข้าพเจ้า 30 ปี และจะตายก่อนข้าพเจ้าก็ตาม”

 

 

“กิน อย่าอาย 

ตาย อย่ากลัว 

อยาก ช่างหัว 

ตาย ปลด!” 

 

พี่จอน ผู้เปรียบเสมือน ‘คณบดี’ คณะอู่เรือขุดแห่ง มหา’ลัย เหมืองแร่ พูดพลางตบที่บ่าของอาจินต์อย่างมิตรไมตรี เพื่อต้อนรับสู่สถาบันการศึกษาแห่งชีวิตที่เขานำพาชีวิตเดินทางข้ามฟากจากเมืองหลวง ไปสิ้นสุดที่ ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา มันคืออีกโลกหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคย เพื่อเริ่มต้นลงทะเบียนเรียนรู้ ณ สถานศึกษาแห่งใหม่ มหา’ลัยแห่งชีวิตที่เขาต้องเรียนรู้ชีวิตจริงด้วยตัวเองผ่านการทำงาน


“มหา’ลัย สอนความรักชาติ เหมืองแร่สอนการรักชีวิต จากวันนั้นเหมืองแร่ได้กลายเป็นโลกที่ผมภูมิใจ” 

 

อีกหนึ่งบทเรียนถึงภาวะผู้นำจาก มหา’ลัย เหมืองแร่ ภาพยนตร์แนวดราม่า-คัมมิ่งออฟเอจ ฝีมือการเขียนบทและกำกับโดย จิระ มะลิกุล 

 

 

หนึ่งในประโยคประทับใจที่สุดของซีรีส์ Game of Thrones ซีซัน 7 เมื่อ ลอร์ดวาริสตอบข้อสงสัยในวันที่ตัดสินใจสวามิภักดิ์ แดเนริส ทาร์แกเรียน แม่มังกรผู้แสนอ่อนโยน ที่เขาเชื่อว่านี่คือราชินีที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ 

 

ลอร์ดวาริส หรือ เจ้าแห่งเสียงกระซิบ คือหนึ่งในตัวละครที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากที่สุดในเรื่อง และถ้าดูเผินๆ ลอร์ดวาริสคือนักการเมืองที่พร้อมหักหลังและเปลี่ยนฝั่งได้ตลอดเวลา โดยไม่สนใจข้อครหาที่หลายคนมองว่าเขาคือคนทรยศจอมปลิ้นปล้อน 

 

หากแต่ลูกเล่นและไหวพริบแพรวพราวชนิดที่ต่อกรกับ ลิตเติลฟิงเกอร์ และ ทีเรียน แลนนิสเตอร์ ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ลอร์ดวาริสได้เก็บซ่อน ‘ความภักดี’ เอาไว้ชนิดที่น้อยคนจะรู้ 

 

นั่นคือความภักดีที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ขึ้นอยู่กับกษัตริย์หรือราชินีองค์ใด หากแต่ซื่อสัตย์และภักดีกับประชาชนผู้เดือดร้อน เขายินยอมให้มือเปื้อนเลือด พร้อมทำเรื่องสกปรก เพียงเพื่อแผนการณ์ใหญ่ให้ประชาชนที่เขารับใช้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 


เขาเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้เนิ่นนาน และดำเนินแผนการอย่างเงียบเชียบ กระทั่งได้เปิดใจคุยกับ ทีเรียน แลนนิสเตอร์ ในช่วงเวลาที่ทั้งคู่เริ่มตั้งคำถามกับแผนการบุกพิชิตเซอร์ซี ด้วยความเหี้ยมโหดที่อาจทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องเสียชีวิต จากแม่มังกรที่เคยอ่อนโยนใน Game of Thrones ซีซัน 8 EP.4 และย้ำแนวคิดของเขาขึ้นมาอีกครั้งว่า

 

“ท่านรู้ว่าข้าภักดีต่อผู้ใด ท่านรู้ว่าข้าไม่มีทางทรยศอาณาจักรนี้ คนนับล้านจะตายหากเลือกคนครองบัลลังก์ผิด เราไม่รู้จักชื่อเขาก็จริง แต่พวกเขาก็มีตัวตนเช่นเดียวกับข้าและท่าน พวกเขาควรจะได้มีชีวิต พวกเขาควรจะมีอาหารเลี้ยงดูลูก ข้าจะทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ไม่ว่าตัวข้าเองจะต้องสละสิ่งใด”

 

นี่อาจจะเป็นคำพูดที่ ‘จริงใจ’ ที่สุดที่เคยออกจากปากคนเจ้าเล่ห์อย่างลอร์ดวาริส 

 

เขาจริงใจถึงขนาดเป็นคนเดียวที่ทำตามคำสาบานที่ว่า จะมองตาของแม่มังกรแล้วพูดความจริงหากเธอเริ่มเดินบนเส้นทางที่ผิดพลาด ถึงแม้จะรู้ว่าเขาอาจต้องรับผิดชอบต่อความซื่อสัตย์ครั้งนั้นด้วยชีวิต 

 

และเมื่อทำหน้าที่โน้มน้าวราชินีที่ถูกความแค้นครอบงำไม่สำเร็จ เขาก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่รู้ว่าจะต้องถูกตราหน้าและต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงยิ่งกว่าครั้งใด ด้วยการ ‘ทรยศ’ และหันไปสนับสนุน จอน สโนว์ หรือ เอกอน ทาร์แกเรียน ที่เขาคิดว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นผู้นำมากที่สุดในเวลานี้แทน 

 

ถึงแม้สุดท้าย จอน สโนว์ ผู้นำที่ลอร์ดวาริสคิดว่าเหมาะสมจะไม่ยอมรับการทรยศอันแสนภักดีที่เขามอบให้ สิ่งที่ลอร์ดวาริสทำก็มีเพียงแค่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างเงียบสงบ ไม่ต่างจากเสียงกระซิบที่ก่อร่างสร้างตัวเขามาจนถึงทุกวันนี้ 

 

ณ วินาทีที่ยืนจ้องตากับมัจจุราช น้ำตาที่คลอออกมาเต็มสองตา อาจไม่ได้บ่งบอกว่าเขากำลังเสียดายชีวิต หากแต่เสียใจที่ไม่อาจอยู่ถึงวันที่ความ ‘ภักดี’ ต่ออาณาจักรของเขาผลิดอกออกผล และนำชีวิตที่เป็นสุขคืนให้กับประชาชนที่เขาไม่รู้จักชื่อได้เท่านั้นเอง

 

ไม่แน่ว่าสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในเวลานี้ อาจไม่ใช่ผู้นำที่ไม่มีใครเลือกเข้ามา แถมยังชอบบอกว่าตัวเองเป็นคนดี ซื่อสัตย์ และจงรักภักดียิ่งกว่าใคร

 

แต่เป็นใครสักคนหนึ่ง (หรือหลายคน) ที่แม้จะเสี่ยงอันตรายแต่ก็กล้าที่ออกปากเตือนเมื่อเห็นความผิดปกติและไม่ยุติธรรม และทำทุกอย่างเพื่อปกป้องและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ‘ประชาชน’ ให้ดีขึ้น ในฐานะคนที่ข้าราชการ นักการเมือง และเหล่าผู้มีอำนาจ ควรจะมอบความ ‘ภักดี’ ให้อย่างแท้จริง 

 

 

ท่ามกลางสงครามโลกนินจาครั้งที่ 4 นารูโตะ และ คิลเลอร์บี สองพลังสถิตร่างที่กำลังออกเดินทางไปร่วมสมทบกับเพื่อนๆ ได้เผชิญหน้ากับ นางาโตะ อดีตผู้นำกลุ่มแสงอุษา และ อิทาจิ ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาจากวิชาสัมภเวสีคืนชีพอย่างกะทันหัน

 

หลังจากที่การต่อสู้จบลง อิทาจิยอมรับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของนารูโตะ แต่ก็เป็นห่วงเมื่อเห็นนารูโตะพยายามใช้ความแข็งแกร่งนั้นเพื่อปกป้องหมู่บ้านเพียงลำพัง เพราะเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ หากยังมีความฝันเป็นโฮคาเงะ ผู้นำแห่งหมู่บ้านนินจาโคโนฮะ


ก่อนจากกัน อิทาจิได้ฝากบทเรียนสุดท้ายเพื่อเตือนสติถึงความหมายที่แท้จริงของการเป็น ‘โฮคาเงะ’ ให้กับนินจารุ่นน้องที่ยังอ่อนเดียงสาว่า

 

“ไม่ใช่ว่าการได้เป็นโฮคาเงะจะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านยอมรับในตัวนาย แต่คนที่ได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้านต่างหากคือคนที่เป็นโฮคาเงะ ดังนั้นจงอย่าได้ลืมพวกพ้องของตัวเอง”

 

ตลอดเส้นทางสู่การเป็นโฮคาเงะที่ทุกคนยอมรับของนารูโตะ เขาหมั่นฝึกฝน พัฒนาตัวเองอย่างหนัก เสียสละเสี่ยงชีวิตออกไปต่อสู้เพื่อหวังจะได้เป็นโฮคาเงะตามที่ฝัน และคิดว่าเมื่อนั้นทุกคนในหมู่บ้านจึงจะยอมรับในตัวเขา

 

แต่นารูโตะลืมไปว่าเขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เขาได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ พวกพ้อง และคนในหมู่บ้านตั้งแต่วันที่เขายังถูกมองว่าเป็น ‘ปีศาจ’ จนสามารถควบคุมพลังของจิ้งจอกเก้าหางได้สำเร็จ และกลายเป็นหนึ่งในนินจาชั้นนำที่ทุกคนยอมรับในความสามารถและ ‘ตัวตน’ ของเขาจริงๆ

 

เพราะ ‘ผู้นำ’ ที่แท้จริงหมายถึงคนที่ได้รับความเชื่อใจ ได้รับการยอมรับจากผู้คนให้ช่วยทำหน้าที่สำคัญในการเป็นแนวหน้า เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมทุกคนเป็นหนึ่งเพื่อ ‘ปกป้อง’ ความสงบสุขของหมู่บ้านร่วมกัน

 


ในฐานะโปรดิวเซอร์ของกองถ่ายละคร โตเกียว (รับบทโดย มายด์-ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล) ต้องรับมือกับผู้กำกับขาวีนอย่าง เกี้ยว (รับบทโดย กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง) ตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันเธอทั้งสองคนมีปากมีเสียงกันเสมอในเรื่องการทำงาน เพราะผู้กำกับเบอร์ใหญ่ที่ฮอร์โมนกำลังเปลี่ยนจากการตั้งท้อง เดี๋ยวก็ยกกอง เดี๋ยวก็ถ่ายเลต เดี๋ยวก็เปลี่ยนซีนจนงบกองบานปลาย โตเกียวเกิดทนไม่ไหวขึ้นมา เธอจึงเปิดฉากฟาดผู้กำกับคนเก่งแบบตรงไปตรงมาหลังแจกันใบละ 80,000 แตกกลางกองถ่าย!

 

ซีนนี้นับเป็นซีนหนึ่งที่น่าจดจำของละครเรื่อง อุ้มรักเกมลวง ที่ทำให้เราได้เห็นภาวะของความเป็น ‘ผู้นำ’ ในตัวเกี้ยวที่พร้อมปกป้องลูกน้องของตนเอง รับผิดชอบแทนทีมในข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น

แต่สิ่งที่โตเกียวกำลังสื่อสารนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะโตเกียวเองก็ไม่ได้ถูกยอมรับในฐานะคนทำงานคนหนึ่งในทีมเช่นกัน ทั้งยังต้องคอยรับผิดชอบความผิดพลาดแทนอีกด้วย บทสนทนาฟาดๆ นี้จึงเกิดขึ้นซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายได้กลับไปทบทวนตัวเองอย่างจริงจังในเรื่องการทำงานร่วมกัน

 

 

คำพูดอันแสนเจ็บปวดของนักรบผู้มีหัวใจรักอาณาจักรดรัมยิ่งกว่าใคร ใช้กำลังและความสามารถปกป้องประชาชนและราชวงศ์แห่งเมืองหิมะด้วยความจงรักภักดีมาตั้งแต่กษัตริย์รุ่นก่อน

 

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่าน อำนาจปกครองอาณาจักรตกเป็นของ วาโปลู กษัตริย์องค์ต่อมาที่ปกครองแบบยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร ขอแค่ตัวเองปลอดภัยก็พอ 

 

ครั้งหนึ่ง ณ วันประชุมผู้นำโลก วาโปลูถูกกษัตริย์เนเฟลตาลี คอบร้าแห่งอลาบาสตาต่อว่า เพราะไม่คิดให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกัน แทนที่จะถกเถียงกันด้วยเหตุผล วาโปลูเลือกเอาความโกรธไปลงที่วีวี่ เจ้าหญิงวัยเพียง 10 ขวบแห่งอลาบาสตา และสร้างความโกรธเคืองให้กับเหล่าองครักษ์เป็นอย่างมาก

 

“ช่างเถอะ ฉันผิดเองแหละที่ไปชนเขาเข้า” 

 

วีวี่รู้ดีว่าในการประชุมเช่นนี้ ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามได้ตลอดเวลา ถึงแม้ในใจจะโกรธแค้น เจ็บปวด แต่เธอคิดถึงความปลอดภัยของอาณาจักร และไปแอบร้องไห้อยู่ด้านหลังเพื่อไม่ให้ใครรู้ 

 

“เวลายิ่งผ่านไป ช่องว่างระหว่างประชาชนกับพวกเรานับวันมีแต่จะเลวร้ายลง ที่อลาบาสตา เด็กผู้หญิงอายุแค่ 10 ขวบก็คิดถึงประเทศชาติของตัวเองแล้ว”

 

ดอลตันพูดประโยคนี้ด้วยความผิดหวัง เพราะรู้สึกว่าเจ้าหญิงที่อายุแค่ 10 ขวบยังคิดถึงประชาชน และน่าเคารพมากกว่าผู้นำที่เขารับใช้เสียอีก 

 

รวมทั้งเหตุการณ์ต่อมาที่วาโปลูปกครองอาณาจักรด้วยการขับไล่หมอเก่งๆ ออกไปจากอาณาจักร เหลือเพียงหมอ 20 คนให้มาอยู่ในวัง ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ถ้าใครไม่เชื่อฟังหรือเห็นต่างก็จะหมดสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลไปทันที และใช้กลอุบายชั่วร้ายหลอกให้ด็อกเตอร์ฮิลรุก หมอกำมะลอแต่อยากช่วยเหลือประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจขึ้นมาทำร้ายถึงในวัง ครั้งนั้นเป็นจุดสุดท้ายของความอดทน ดอลตันเลือกหยิบอาวุธที่เคยใช้ปกป้องลุกขึ้นมาสู้กับวาโปลูเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะพ่ายแพ้และต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุก

 

“ฉันมองเห็นเส้นทางที่อาณาจักรนี้จะไปถึงแล้ว มันคือการล่มสลายอย่างไรล่ะ ไม่ว่าหมอของที่นี่จะเก่งกาจแค่ไหน ไม่ว่าจะค้นคว้าวิจัยยาต่อไปให้ตายอย่างไร ก็ไม่มียาที่จะช่วยรักษาคนบ้าได้หรอก” 

 

ถ้าเป็นไปได้ เราอยากเอามือจับไหล่ แล้วพูดกับดอลตันว่า ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ผิดหวัง เพราะถ้าเขาล่องเรือออกมาที่โลกแห่งความเป็นจริง เขาจะรู้ว่า ‘ผู้นำ’ และ ‘ผู้ใหญ่’ หลายคนที่อยู่แถวๆ นี้ก็ยังคิดถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศชาติน้อยกว่าองค์หญิงอายุ 10 ขวบคนนี้เหมือนกัน

 

 

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising