×

โศกนาฏกรรมลูกหนังครั้งใหม่ของเยอรมนีในฟุตบอลโลก

28.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ภาพบนปกหนังสือพิมพ์ Bild เป็นภาพของ โทนี โครส เหมือนเดิมกับเมื่อ 4 ปีก่อนด้วยข้อความพาดหัวแบบเดิม แต่เรื่องราวนั้นไม่เหมือนเดิม
  • ซอนเฮือนมิน ที่ร้องไห้ใจแทบขาดเมื่อไม่กี่วันก่อน กลายเป็นคนตอกตะปูปิดฝาโลงส่งแชมป์โลกตกรอบ ในชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์เกาหลีใต้
  • นักวิเคราะห์ชาวเยอรมันมองว่าเลิฟ และนักเตะของเขาประมาทเกินไปในฟุตบอลโลกครั้งนี้
  • นอกจากเลิฟแล้ว เมซุต โอซิล ขุนพลคนสนิทคือนักเตะที่กลายเป็นถังขยะรองรับทุกอย่างในเวลานี้ ไม่ว่าจะด้วยผลงานในสนามหรือเรื่องทางการเมือง
  • คำถามสำคัญอยู่ที่ DFB หรือสมาคมฟุตบอลเยอรมนี จะเอาอย่างไรกับบุนเดสเทรนเนอร์ที่ชื่อเลิฟ

Ohne Worte!

 

คำดังกล่าวมีความหมายว่า ‘พูดไม่ออก’ ซึ่งเป็นคำที่หนังสือพิมพ์ Bild พาดหัวด้วยคำเดิมคำเดียวกับที่พวกเขาเคยพาดหัวเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และใช้ภาพของ โทนี โครส กองกลางคนสำคัญของเยอรมนีเหมือนเดิม

 

สิ่งที่แตกต่างคือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โครส กำลังกระโดดดีใจตัวลอยร่วมกับเพื่อนๆ ในวันแห่งประวัติศาสตร์เมื่อ ‘อินทรีเหล็ก’ ทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อด้วยการฆาตกรรมทีมชาติบราซิล กลางสนามในบ้านของพวกเขาเองด้วยสกอร์ถึง 7-1 ซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมลูกหนังในสนามที่เลวร้ายที่สุดของโลก

 

ขณะที่วันนี้ภาพบนปกเป็นภาพของโครส ที่ยืนเท้าเอวหน้าก้มลงมองไปที่พื้นหญ้าอย่างคนสิ้นหวัง พร้อมตัวเลขบนปก 0:2

 

เยอรมนีแพ้และตกรอบแรกฟุตบอลโลกด้วยน้ำมือของชาติที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขามาก่อนอย่างเกาหลีใต้

 

 

โครส ผู้ที่เคยเป็นฮีโร่ของชาติในฐานะแกนนำชุดแชมป์โลก 2014 และเพิ่งจะสวมบทฮีโร่ในการยิงลูกมหัศจรรย์ในวินาทีสุดท้ายของเกมให้เยอรมนี พลิกเอาชนะสวีเดน ได้ในเกมนัดที่ 2 จนเหมือนทุกอย่างจะกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง กลายเป็นคนส่งมีดให้คู่ต่อสู้มาปลิดชีพตัวเอง

 

วินาทีที่เขาแหย่ขาสกัดบอลพลาดลูกไปเข้าทาง คิมยังกวอน ที่ยืนอยู่โล่งๆ หน้าปากประตู ก่อนจะยิงเผาขนผ่าน มานูเอล นอยเออร์ ผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรทีมได้อีกในสถานการณ์นั้น มันคือวินาทีประวัติศาสตร์

 

มันคือวินาทีที่เยอรมนี รู้ว่าพวกเขากำลังจะตกรอบฟุตบอลโลก

 

ถึงแม้ว่า โธมัส มุลเลอร์ หนึ่งในผู้เล่นระดับอาวุโสของทีม และเคยเป็นฮีโร่ของทีมเมื่อ 4 ปีที่แล้วจะพยายามปลุกเร้าให้นักเตะในชุดเขียวกลับมามีสติและตั้งใจเล่นกันอีกครั้ง ให้สมกับความเป็นชนชาติที่ไม่เคยยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย

 

แต่เปล่าประโยชน์ ความหวังนั้นหลุดลอยไปไกล และแข้งขาของพวกเขาก็อ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว

 

ท้ายที่สุด มานูเอล นอยเออร์ พลาดเสียบอลในแดนเกาหลีใต้ ก่อนที่บอลจะถูกหวดยาวข้ามมาถึงนักเตะผู้ที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ร้องไห้ปานใจจะขาดด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถช่วยทีมให้คว้าชัยชนะได้ และทำให้ชาวเกาหลีที่เฝ้าให้กำลังใจพวกเขาผิดหวัง

 

 

มันคือวินาทีที่ ซงฮยองมิน ได้เป็นคนตอกตะปูปิดฝาโลงส่งแชมป์โลกตกรอบ ในชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ ชัยชนะที่จะเป็นนิทานลูกหนังของเหล่า Taeguk Warriors ไปอีกนานแสนนาน

 

ในอีกด้าน มันก็เป็นวินาทีที่หัวใจของชาวเยอรมันทั้งชาติแหลกสลายลงเช่นกัน

 

สิ่งดีๆ ที่สร้างกันมาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ทศวรรษได้ถึงคราวสิ้นสุดลงแล้ว เพราะโมงยามแห่งความสำเร็จนั้นมีวันหมดอายุ บัดนี้มันถึงเวลาที่พวกเขาจะกลับไปทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้ง

 

โดยหนึ่งในคนแรกๆ ที่ต้องพิจารณาตัวเองคือ โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์

 

ราฟาเอล โฮนิกสเตน (Raphael Honigstein) มิตรสหายคนข่าวเลือดเยอรมัน ผู้เคยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทรรศนะเรื่องฟุตบอลต่างประเทศในไทยด้วยกันเมื่อสิบปีก่อน วิเคราะห์ถึงสาเหตุในความล้มเหลวของเยอรมนีในครั้งนี้ไว้อย่างน่าสนใจครับ

 

โฮนิกสเตน บอกว่าสำหรับเยอรมนี ในฟุตบอลโลกแต่ละครั้ง มันจะมีภาพจำที่แทนการแข่งขันแต่ละสมัย

 

 

 

ในปี 2014 คือภาพที่ มาริโอ เกิตเซ วิ่งในสนามมาราคานา ราวกับผึ้งน้อยที่ดื่มจนเมามาย

 

ขณะที่ครั้งนี้ในปี 2018 ภาพจำสำหรับเขาคือภาพของ โยอาคิม เลิฟ ที่ใส่แว่นกันแดด ยืนโพสต์ท่าใต้โคมไฟถนนในเมืองโซชิ ให้ช่างภาพจากเอเจนซีได้ถ่ายรูป ในช่วงก่อนเกมที่เยอรมนีจะพบกับสวีเดน

 

ความหมายใต้ภาพคือ ‘ผมเอาอยู่’ หรือ ‘ไม่มีอะไรต้องกังวล’

 

สำหรับโฮนิกสเตน เขามองว่าเลิฟ และนักเตะของเขาประมาทเกินไปในฟุตบอลโลก โดยเฉพาะกับฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่เราได้เห็นกันชัดเจนว่าระยะห่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กที่เคยเป็นหมูนุ่มให้เคี้ยวเล่นนั้นหดใกล้กันจนแทบประชิด

 

3 นัดของเยอรมนี ไม่มีเกมไหนเลยที่พวกเขาทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเหนือกว่า

 

ถึงแม้ตัวเลขเปอร์เซ็นต์การครองบอลจะสูงลิบ และมีโอกาสในการทำประตู 72 ครั้ง แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้บ่งบอกว่าทุกอย่าง In control แบบที่เลิฟคิด

 

และเป็นตัวเขาเองที่ยอมรับหลังตกรอบว่าเยอรมนี มาฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วยความ ‘เย่อหยิ่ง’

 

 

ความเชื่อและความคุ้นชินว่าประเดี๋ยวทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางเอง ทำให้เยอรมนีมองข้ามสัญญาณอันตรายที่ส่งออกมาให้เห็นตั้งแต่ก่อนฟุตบอลโลก ในเกมอุ่นเครื่องที่พวกเขาแพ้ต่อออสเตรีย และย่ำแย่หนักในการพบกับซาอุดีอาระเบีย

 

หรือย้อนไปไกลกว่านั้นคือในเกมอุ่นเครื่องกับสเปน บราซิล อังกฤษ หรือฝรั่งเศส ซึ่งเริ่มจับสัญญาณได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

เพียงแต่เลิฟมองข้าม เขายังเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา เยอรมนีจะค่อยๆ ทำได้ดีขึ้นตามลำดับเหมือนกดสวิตช์เปิด ในแบบที่พวกเขามีคำเฉพาะว่า Turniermannschaft หรือทีมที่เล่นดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปในทัวร์นาเมนต์

 

มันอาจจะเคยเป็นแบบนั้น พวกเขาอาจจะเคยทำได้ แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ เขาคาดคะเนผิดอย่างร้ายแรง

 

ขณะที่ขุนพล Die Mannschaft ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

การล่ำลาของกัปตันทีมอย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม และหนึ่งในแกนนำอย่าง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ทิ้งรูขนาดใหญ่ที่เด็กรุ่นถัดมาอย่าง โจชัว คิมมิช, เลออน โกเร็ตซ์กา หรือ ติโม แวร์เนอร์ ยังไม่สามารถจะถมรูนั้นได้มิด

 

ขณะที่นักเตะคนสำคัญหลายคนก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มแห่งชีวิตอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น โธมัส มุลเลอร์, ซามี เคดิรา, มานูเอล นอยเออร์ (ซึ่งน่าเห็นใจเพราะไม่ได้ลงสนามมาร่วม 9 เดือน) และคนที่กลายเป็น ‘แพะรับบาป’ ของฟุตบอลโลกครั้งนี้อย่าง เมซุต โอซิล

 

มันทำให้เยอรมนีไม่ใช่ทีมที่น่าเกรงขามอีกต่อไป

 

เหนืออื่นใด เลิฟเองก็ดูเหมือนจะสูญเสีย Midas Touch ที่จับต้องสิ่งของอะไรก็กลายเป็นทองไปแล้ว

 

เริ่มตั้งแต่การตัด ลีรอย ซาเน ปีกนิลกาฬเจ้าของรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก ออกจากทีมแบบไม่มีใครอยากเชื่อ ด้วยเหตุผลว่าเขามีตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ซึ่งก็นำไปสู่การวิพากษ์อย่างกว้างขวาง

 

จากนั้นเมื่อฟุตบอลโลกเริ่ม เลิฟถูกสับเละอีกเมื่อเยอรมนีพ่ายเม็กซิโก แบบหมดรูป โดยคำถามที่หลายคนตั้งคือเขาจะวางใจใช้นักเตะอย่างโอซิลไปถึงเมื่อไร

 

ตัดประเด็นเรื่องทางการเมืองออกไป ในความเห็นใจต่อโอซิล นักเตะผู้มักถูกตัดสินจากสไตล์การเล่นเอื่อยเฉื่อยและสีหน้าที่ไร้อารมณ์จากแฟนบอลตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะกับอาร์เซนอลหรือเยอรมนี – ฟุตบอลโลกครั้งนี้ผลงานของเขาสมควรถูกวิจารณ์อยู่บ้าง

 

อย่างน้อยก็ปฏิเสธได้ยากว่า 2 นัดที่โอซิลลงสนามทีมแพ้ทั้ง 2 นัด ขณะที่นัดเดียวที่เขา (และเคดิรา ที่ฟอร์มแย่พอกัน) ไม่ได้ลงสนามคือเกมที่ทีมชนะสวีเดน

 

เพียงแต่เขาไม่สามารถลงสนามได้หากไม่ได้รับการเลือกจากเลิฟ ผู้ซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงทีมต่อเนื่องทั้ง 3 นัด ทั้งๆ ที่ดูเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย

 

ถึงจะมีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่เลิฟกลับมาเรียกใช้งานโอซิลและเคดิรา อีกครั้งเนื่องจากเขามองเห็นว่าทีมยังมีปัญหาในเรื่องเกมรับ จึงปรับระบบการเล่นใหม่ และมองว่านักเตะสองคนนี้ยังจำเป็นกับทีมอยู่ แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้คือความล้มเหลวที่แสนเจ็บปวด

 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้ คาดว่าเราคงได้เห็นการทบทวนตัวเองครั้งใหญ่ของเยอรมนี หลังจากที่พวกเขาเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งหลังจบฟุตบอลยูโร 2000 ที่พวกเขาตกรอบแรกเช่นเดียวกันภายใต้บุนเดสเทรนเนอร์ เอริก ริบเบ็ค

 

ในแง่ดีคือฐานรากของพวกเขายังคงแน่นหนา ระบบต่างๆ ที่วางเอาไว้ยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เยอรมนีไม่ได้ขาดนักเตะสายเลือดใหม่ที่มีฝีมือ เด็กๆ เหล่านั้นแค่ต้องการเวลาก่อนที่จะเปล่งประกายอย่างเต็มที่

 

คำถามสำคัญอยู่ที่ DFB หรือสมาคมฟุตบอลเยอรมนีจะเอาอย่างไรกับบุนเดสเทรนเนอร์ที่ชื่อเลิฟ

 

เรื่องตลกร้ายคือเขาเพิ่งจะต่อสัญญาไปจนถึงปี 2022 ที่เป็นการบอกโดยนัยว่า ไม่ว่าผลงานในฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเป็นอย่างไรเขาก็มีโอกาสคุมทีมต่อ

 

แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าเลิฟ จะพาเยอรมนีตกรอบแรกในสภาพนี้

 

บางที 12 ปีในตำแหน่งมันอาจจะยาวนานเกินไปจนทำให้เฉื่อยชา

 

การเปลี่ยนแปลงและการจากลา อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเยอรมนีในเวลานี้  

Photo: Reuters

FYI
  • เยอรมนีตกรอบแรกของฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1938
  • เยอรมนีกลายเป็นแชมป์เก่าที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลก 3 สมัยติดต่อกัน ต่อจาก อิตาลี (2010) และสเปน (2014)
  • หากนับย้อนกลับไปในฟุตบอลโลก 5 สมัยหลังสุด มีแชมป์เก่าตกรอบแรกถึง 4 สมัย โดยจะมีฝรั่งเศส (2002) อีกทีมด้วย
  • เกาหลีใต้ คือทีมจากเอเชียทีมแรกที่เอาชนะเยอรมนีได้
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising