สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจฟฟรีย์ ฮินตัน ( Geoffrey Hinton ) ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าพ่อแห่ง AI’ ที่ออกมาเปิดเผยว่าผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ตัวเขาเองตัดสินใจลาออกจาก Google เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อให้ตนมีอิสระในการเตือนถึงอันตรายของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เจ้าตัวมีส่วนในการพัฒนาขึ้นมานี้
Hinton กล่าวว่า งานบุกเบิกของตนเกี่ยวกับโครงข่ายประสาทเทียมสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์จำนวนมากในปัจจุบัน ซึ่งหลังจากความพยายามในการพัฒนา AI ให้กับ Google ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเป็นเวลานาน 10 ปี เขาก็เริ่มมองเห็นประเด็นที่น่ากังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีและบทบาทของ AI ในการทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้า
การตัดสินใจของ Hinton ที่จะลาออกออกจากบริษัทและพูดเกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้นเกิดขึ้นในขณะที่สมาชิกสภานิติบัญญัติ กลุ่มผู้สนับสนุน และคนในแวดวงเทคโนโลยีจำนวนมากขึ้น เริ่มตระหนักและตื่นตระหนกเกี่ยวกับศักยภาพของแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ชุดใหม่ที่อาจเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ OpenAI เปิดตัว ChatGPT ภายใต้การสนับสนุนของ Microsoft ทำให้ ยักษ์ใหญ่ในวงในเทคโนโลยี อย่าง Google, IBM, Amazon, Baidu และ Tencent ต่างกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายกันอย่างคึกคัก
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคม บุคคลสำคัญด้านเทคโนโลยีบางคนได้ลงนามในจดหมายเรียกร้องให้ห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์หยุดการฝึกอบรมระบบ AI เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยอ้างถึงความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสังคมและมนุษยชาติ
จดหมายดังกล่าวเผยแพร่โดย Future of Life Institute ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ได้รับการสนับสนุนจาก Elon Musk โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่ OpenAI ประกาศเปิดตัว GPT-4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเวอร์ชันล่าสุดที่ขับเคลื่อน ChatGPT โดยในการทดสอบเบื้องต้นและการสาธิต GPT-4 ใช้ในการร่างคดีความ ผ่านการสอบมาตรฐาน และสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานได้จากภาพร่างที่วาดด้วยมือ
และก่อนหน้านี้ ในการให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ทาง Hinton ได้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของ AI ในการกำจัดงานและสร้างโลกที่หลายคนจะ “ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความจริงอีกต่อไป” นอกจากนี้ เขายังชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าอันน่าทึ่ง ซึ่งไกลเกินกว่าที่เขาและคนอื่นๆ คาดการณ์ไว้
Hinton กล่าวว่า มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่า AI จะสามารถฉลาดกว่าผู้คนได้จริง หรืออย่างน้อย AI ก็ไม่น่าจะฉลาดกว่าคนได้ในระยะ 30-50 ปีนี้ ซึ่งตนเองก็เคยคิดอย่างนั้น แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว โดย Hinton เชื่อว่าไม่ช้าไม่นาน AI จะฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ และอาจเหนือกว่า ซึ่งศักยภาพดังกล่าวของ AI มีทั้งดีและร้าย
Hinton เชื่อว่าความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ AI กำลังจะเปลี่ยนแปลงสังคมในรูปแบบที่คนเราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และไม่ใช่ว่าผลกระทบทั้งหมดจะออกมาดี โดยยกตัวอย่างว่า ขณะที่ AI จะช่วยส่งเสริมการรักษาพยาบาล AI ก็สามารถสร้างโอกาสสำหรับอาวุธสังหารอัตโนมัติได้ โดย Hinton พบว่า ความเป็นไปได้ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีทันใด และน่ากลัวกว่าโอกาสที่หุ่นยนต์จะเข้ายึดครองโลก ซึ่งยังคงเป็นความเป็นไปได้ที่ยังคงอีกยาวไกล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เลขาและล่ามอาจตกงาน! เมื่อ Microsoft เปิดตัว Teams Premium ที่ผสานพลัง ChatGPT จนสามารถสร้าง ‘บันทึกการประชุมอัตโนมัติ’ แถมยัง ‘แปลสด’ ได้มากถึง 40 ภาษา
- สงคราม ‘AI’ แชตบอตเดือด Baidu เปิดตัว ‘ERNIE Bot’ ท้าชน ‘ChatGPT’ ของ OpenAI และ ‘Bard’ ของ Google
- ยังไม่ช้า (เกินไป) ใช่ไหม? Google เปิดตัว ‘Bard’ แชตบอตปัญญาประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสู้กับ ChatGPT โดยเฉพาะ
อ้างอิง: