หลังจากที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งโดยภาพรวมแล้วไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก พร้อมกับการที่หลายบริษัทมีแผนที่จะลดค่าใช้จ่ายลง โดยเฉพาะการปลดพนักงานจำนวนมากจนนำไปสู่คำถามที่ว่า บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จะบอบช้ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากน้อยเพียงใด
หุ้นของ Amazon.com และ Microsoft ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักหลังจากที่ธุรกิจคลาวด์ คอมพิวติ้ง เติบโตได้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกัน ทั้ง Amazon.com และ Microsoft ก็เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ประกาศงดรับพนักงานใหม่ รวมทั้งมีแผนจะลดบุคลากรลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
แนวโน้มอุปสงค์ด้านเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ตลาดใช้ในการประเมินความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2023 แต่ดูเหมือนว่าอุปสงค์ในด้านนี้จะยังคงแข็งแกร่ง หากดูจากข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเห็นตรงกันว่า อุปสงค์ต่อเทคโนโลยียังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีคำถามเกิดขึ้นว่าความต้องการที่ยังเพิ่มขึ้นนี้จะชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้หรือไม่
Amazon ระบุผ่านการประชุมนักวิเคราะห์ว่า อุตสาหกรรมธนาคารและคริปโตที่อ่อนแอลงส่งผลให้อุปสงค์ต่อเทคโนโลยีย่ำแย่ลงด้วยเช่นกัน
Michael Gapen นักเศรษฐศาสตร์ของ Merrill Lynch กล่าวว่า หากมองในมุมบวก ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ออกมายังสะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งต่อเทคโนโลยี ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
หากเปรียบเทียบกับปี 2009 การลงทุนในส่วนของทรัพย์สินทางปัญญาลดลง 3.6% แต่ในปี 2021 และ 2022 การลงทุนในส่วนนี้เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี
ด้าน John-David Lovelock chief forecaster ของ Gartner กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีจะเพิ่มขึ้น 5.1% ในปีหน้า หลังจากที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่า 1% ในปีนี้ อิงจากการสำรวจของ Gartner ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากการสำรวจครั้งก่อนหน้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความต้องการในด้านเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน ซึ่งเคยมีความต้องการสูงเมื่อปี 2020 มีแนวโน้มที่ความต้องการจะลดลง
ขณะที่เทคโนโลยีอย่างคลาวด์ คอมพิวติ้ง ถือว่าชะลอตัวเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ Gartner คาดว่า รายได้ของธุรกิจคลาวด์ คอมพิวติ้ง จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.01 แสนล้านดอลลาร์ในปีหน้า และสูงกว่าตัวเลขเมื่อปี 2021 ซึ่งอยู่ที่ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ และในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การลงทุนในส่วนของคลาวด์จะเพิ่มราว 20%
ในมุมของ John Freeman นักกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีของ CFRA Research ประเมินว่า กำไรของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยภาพรวมจะยังเติบโตได้ 2% ในปีนี้ ก่อนจะฟื้นตัว 6% ในปี 2023 ซึ่งการเติบโตนี้จะสะท้อนทั้งส่วนของเทคโนโลยีที่เป็นดาวรุ่ง อาทิ คลาวด์ คอมพิวติ้ง ซึ่งได้อานิสงส์จากการที่บริษัทต่างๆ ต้องพยายามรักษาฐานลูกค้าที่หันมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
“แนวโน้มการเติบโตของปัจจัยพื้นฐานด้านเทคโนโลยียังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป มันพัฒนามากขึ้น ที่จริงแล้วเมื่อภาพใหญ่มีความเสี่ยงมากขึ้น บริษัทต่างๆ จะพยายามลงทุนเพื่อสร้างความคล่องตัวให้กับตัวเอง และการที่เศรษฐกิจหดตัวจะยิ่งกระทบต่อบริษัทที่ยังคงยึดอยู่กับผลิตภัณฑ์เดิมๆ ของตัวเอง”
ในมุมของการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในแง่ของราคาหุ้น โดยรวมแล้วหุ้นกลุ่มเทคลดลงไปต่ำสุดถึงประมาณ -30% ซึ่งปัจจัยกดดันหลักมาจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และการที่บริษัทต่างๆ ส่งสัญญาณชะลอการจ้างงาน รวมทั้งการปลดพนักงาน แม้ว่าผลประกอบการของบริษัทออกมาต่ำกว่าที่คาดเล็กน้อย
“บริษัทอย่าง Twitter กำลังจะลดพนักงาน 75% Snapchat และ Microsoft มีแผนจะลดคน 20% บริษัทอย่าง Apple และ Amazon แม้จะไม่มีแผนจะปลดพนักงานแต่ก็ชะลอการจ้างงาน ขณะที่ Meta หรือ Facebook จะประกาศแผนเกี่ยวกับการปลดคนในปลายสัปดาห์นี้”
จะเห็นว่าบริษัทที่มีรายได้จากการโฆษณาปรับเป้าหมายของบริษัทลงเกือบหมด ซึ่งเป็นผลจากการที่ลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภคลดงบประมาณด้านโฆษณาออนไลน์
อย่างไรก็ตาม หากมองแนวโน้มของหุ้นเทค โดยอิงจากยอดขายของบริษัทในดัชนี Nasdaq น่าจะยังเติบโตได้ 7-8% ในปีนี้ ขณะที่บริษัทใน S&P 500 มีแนวโน้มยอดขายเติบโตเพียง 3%
“ที่ผ่านมานักลงทุนบางส่วนอาจจะเข้าใจผิด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในระดับเพียง Mild Recession ผลกระทบต่อกลุ่มเทคจะค่อนข้างจำกัดกว่าอุตสาหกรรมอื่น”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคจะลดลงมาค่อนข้างมากแล้ว และผลประกอบการก็ยังมีแนวโน้มจะฟื้นตัว แต่การวิ่งขึ้นของราคาหุ้นอาจจะไม่ได้อิงกับปัจจัยพื้นฐานโดยตรง แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก
“ส่วนตัวมองว่าดัชนี Nasdaq ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ปัจจัยที่จะทำให้หุ้นเทควิ่งกลับขึ้นมาได้มีอยู่ 3 ข้อ คือ 1. เงินเฟ้อชะลอตัว 2. บอนด์ยีลด์ผ่านจุดสูงสุด และ 3. พรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ Corporate Tax มีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดลง”
อ้างอิง: