×

การประชุมสุดยอด G20 ทรัมป์-สีจิ้นผิง ทางออกของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

24.06.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ประธานาธิบดีทรัมป์และสีจิ้นผิงจะมีการพบปะกันโดยเฉพาะในลักษณะทวิภาคีในการประชุมสุดยอดประเทศสมาชิก G20 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 28 และ 29 มิถุนายนนี้
  • จากการที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มมีท่าทีอ่อนตัวลงในไตรมาสที่ 2 ผนวกกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง อีกทั้งจีนก็ยังกัดฟันสู้อย่างต่อเนื่อง แรงกดดันจากผู้บริโภคและผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาที่มีต่อทรัมป์ได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นทรัมป์จึงต้องหาทางที่จะเจรจากับสีจิ้นผิงเพื่อนำพาไปสู่การหาข้อยุติ
  • ทรัมป์กำลังหาทางหลีกเลี่ยงทฤษฎีที่เรียกว่า ‘เกมลบ’ (Negative-sum Game) ดังนั้นจุดที่เหมาะสมเพื่อหาทางลงก็คือการประชุมสุดยอด G20 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนที่จะถึงนี้ โดยเพิ่มกรอบนอกการประชุมสุดยอดเป็นการพบกันแบบทวิภาคี เพื่อหาแนวทางในการที่จะนำไปสู่ข้อยุติของสงครามการค้าที่เกิดขึ้น

ประธานาธิบดีทรัมป์และสีจิ้นผิงจะมีการพบปะกันโดยเฉพาะในลักษณะทวิภาคีในการประชุมสุดยอดประเทศสมาชิก G20 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 28 และ 29 มิถุนายนนี้

 

การพบปะกันระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นการพูดคุยกันนอกกรอบการประชุมสุดยอด และในการพบกันครั้งนี้คงจะมีการปรึกษาหารือเกี่ยวข้องกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งแท้จริงนั้นไม่ได้เป็นเพียงสงครามการค้า แต่เป็น ‘สงครามแห่งความอยู่รอดทางเทคโนโลยี’ (Existential Technological War) (อ่านเพิ่มเติม thestandard.co/china-us-trade-war/)

 

สถานภาพในการทำสงครามขณะนี้ของทั้งสองประเทศคือ สหรัฐอเมริกามีการขึ้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนจากยอดนำเข้า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตราภาษีนำเข้า 25% และขู่ต่อว่าจะมีการขึ้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าอีก 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังไม่ถูกเล่นงานด้วยกำแพงภาษีในอัตรา 25% เช่นกัน

 

 

นอกจากนั้นสหรัฐอเมริกายังกดดันจีนด้วยการเล่นงานผู้บริหารบริษัท Huawei (ลูกสาว) โดยขอให้แคนาดามีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน อีกทั้งมีการออกคำสั่งไม่ให้บริษัทสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ Google, Qualcomm และอื่นๆ ในการขายสินค้าหรือยุติการให้ลิขสิทธิ์ เช่น การให้บริการแอนดรอยด์ของ Google แก่ Huawei นอกจากนั้นสหรัฐอเมริกายังมีการโจมตีจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีในการควบคุมประชาชน โดยเฉพาะชนเผ่าอุยกูร์ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

นอกจากนี้ยังมีการดำเนินมาตรการในการคุมเข้มเรื่องการให้วีซ่ากับคนจีนที่จะมาเรียนในสหรัฐอเมริกา และห้ามคนจีนเรียนบางสาขาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนสร้างแรงกดดันให้คนจีนที่ทำงานในด้านเทคโนโลยีต้องกลับประเทศ โดยมองว่าประเทศจีนและคนจีนเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา

 

ส่วนจีนตอบโต้สหรัฐอเมริกาด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่สหรัฐอเมริกาส่งออกมายังจีนในกรอบมูลค่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเก็บในอัตราแตกต่างกันเป็นขั้นบันไดระหว่าง 5-25% มีการสร้างกระแสชาตินิยม มีการขู่ว่าอาจจะไม่ให้มีการส่งออกแร่หายาก (Rare earth) ซึ่งสหรัฐอเมริกาต้องนำเข้าเพื่อมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธและสินค้าทางด้านไอที

 

ทั้งสองประเทศอยู่ในขั้นตอนที่เกือบจะประสบความสำเร็จในการยุติสงครามในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงกับมีข่าวว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงเพื่อยุติสงคราม

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับตาลปัตรเมื่อทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นภาษีในกรอบมูลค่าการนำเข้า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 10% เป็น 25% และยังขู่ว่าอาจจะเก็บภาษีนำเข้าอีกในกรอบวงเงิน 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตรา 25% เช่นกัน

 

ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของทรัมป์เกิดจากเหตุผลที่เขาอ้างว่าสีจิ้นผิงมีการเปลี่ยนแปลงสาระของข้อตกลง โดยกล่าวว่าตามข้อตกลงที่จะลงนามนั้นกำหนดให้จีนมีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกาซึ่งสูงถึง 347,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่าครึ่งหนึ่งของการขาดดุลการค้าที่สหรัฐอเมริกามีต่อทั่วโลก

 

อนึ่ง ตัวเลขการขาดดุลการค้าที่สหรัฐอเมริกามีต่อจีนยังเพิ่มสูงขึ้นกว่าตัวเลขที่ได้กล่าว ซึ่งเป็นตัวเลขของปลายปีที่แล้ว

 

 

นอกจากนั้นสหรัฐอเมริกายังอ้างว่าจีนตกลงที่จะออกกฎหมายให้มีการเคารพสิทธิทางปัญญา จะห้ามไม่ให้องค์กรของจีนมีการบังคับเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) มีการเปิดเสรีด้านการค้า บริการ และโดยเฉพาะด้านการเงิน จะลดหรือยกเลิกการอุดหนุนทางการค้า

 

ทรัมป์กล่าวหาว่าสีจิ้นผิงเปลี่ยนแปลงจากข้อตกลงที่จะออกกฎหมายมาเป็นการออกกฎระเบียบ ซึ่งมีผลบังคับที่อ่อนกว่ากฎหมาย ด้านจีนก็อ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นข้อสิ้นสุด ย่อมจะมีความยืดหยุ่นในการปรับใช้ ซึ่งถ้าจีนดำเนินการตามที่สหรัฐอเมริกากำหนดย่อมส่งผลกระทบต่อสถานภาพของสีจิ้นผิงในฐานะผู้นำของจีน และกระทบต่อสถานภาพความยิ่งใหญ่ของจีนในฐานะประเทศมหาอำนาจด้วย ทางจีนเองก็คิดว่าการออกกฎระเบียบหลักเกณฑ์โดยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายก็ถือว่าเป็นการโอนอ่อนให้สหรัฐอเมริกาในระดับหนึ่งแล้ว

 

ความขัดแย้งดังกล่าวจึงทำให้สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงยืดเยื้อและขยายวงออกไป

 

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เริ่มตระหนักว่าการเล่นงานจีนนั้นส่งผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีท่าทีอ่อนตัวลงในไตรมาสที่ 2 นี้ นักธุรกิจจำนวนมากเริ่มสร้างกระแสและกดดันทรัมป์ให้หาข้อยุติกับจีน เพราะกำลังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องซื้อของแพงขึ้นและกระทบต่อธุรกิจ

 

นอกจากนั้นท่าทีที่จีนแสดงออกเป็นที่ประจักษ์ว่าจีนจะทำทุกอย่างเพื่อกัดฟันสู้ต่อไป เพราะรู้ว่าถึงจุดหนึ่งเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก็จะถูกกระทบจากสงครามนี้ในลักษณะขยายวงมากขึ้น และแรงกดดันต่อทรัมป์ก็จะสูงขึ้นทุกทีเมื่อยิ่งเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

 

จากการที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มมีท่าทีอ่อนตัวลงในไตรมาสที่ 2 ผนวกกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง อีกทั้งจีนก็ยังกัดฟันสู้อย่างต่อเนื่อง แรงกดดันจากผู้บริโภคและผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาที่มีต่อทรัมป์ได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นทรัมป์จึงต้องหาทางที่จะเจรจากับสีจิ้นผิงเพื่อนำพาไปสู่การหาข้อยุติและเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ลามปามไปสู่ความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกและต่อสหรัฐอเมริกา และกระทบต่อการรณรงค์เพื่อที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง

 

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทรัมป์กำลังหาทางหลีกเลี่ยงทฤษฎีที่เรียกว่า ‘เกมลบ’ (Negative-sum Game) ดังนั้นจุดที่เหมาะสมเพื่อหาทางลงก็คือการประชุมสุดยอด G20 ณ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนที่จะถึงนี้ โดยเพิ่มกรอบนอกการประชุมสุดยอดเป็นการพบกันแบบทวิภาคีเพื่อหาแนวทางในการที่จะนำไปสู่ข้อยุติของสงครามการค้าที่เกิดขึ้น

 

สิ่งที่สหรัฐอเมริกาเรียกร้องเพื่อหาข้อยุตินี้ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือการแก้ไขดุลการค้าที่สหรัฐอเมริกาเสียดุลให้กับจีนในปัจจุบันซึ่งสูงถึง 380,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยการให้จีนสัญญาว่าจะมีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมหาศาลในระดับหนึ่ง ส่วนที่สอง สหรัฐอเมริกาต้องการให้จีนออกกฎหมายหรือมีมาตรการซึ่งเป็นหลักประกันเพียงพอที่จีนจะเคารพสิทธิทางปัญญา ไม่มีการบังคับเรื่องการถ่ายโอนเทคโนโลยี แก้ไขพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมอย่างมาตรการการอุดหนุน และเปิดเสรีทางการค้าและบริการ

 

ในส่วนของจีนก็ต้องการให้ข้อตกลงที่จะเกิดขึ้นนี้สมเหตุสมผลและเป็นไปในลักษณะมีดุลยภาพ กล่าวคือจีนจะไม่ยอมถูกสหรัฐอเมริกาบีบและต้องยินยอมมากเกินไป

 

ดังนั้นสิ่งที่จีนต้องการเรียกร้องเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่สหรัฐอเมริกาเรียกร้องคือสหรัฐอเมริกาจะต้องยกเลิกการกดดันทางการค้าทั้งหมดที่มีต่อจีน จะต้องผ่อนปรนแก้ไขปัญหาที่มีต่อบริษัทของจีน โดยเฉพาะ Huawei และมีการผ่อนปรนในด้านกฎระเบียบที่ส่งผลกระทบต่อการค้าขายและการลงทุนของจีน

 

 

ในการต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา จีนได้ใช้กลยุทธ์ที่ทรัมป์ใช้ กล่าวคือดึงประเด็นต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเจรจา แต่เป็นการสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจา เช่น เกาหลีเหนือ ดังจะเห็นได้ว่าเป็นครั้งแรกที่สีจิ้นผิงไปเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการ อันเป็นเครื่องแสดงให้สหรัฐอเมริกาเห็นว่าจีนมีไพ่ที่จะเล่น ข้อยุติที่สหรัฐอเมริกาอยากได้จากเกาหลีเหนือส่วนหนึ่งจะต้องอาศัยความช่วยเหลือของจีนซึ่งมีบทบาทและอิทธิพลต่อเกาหลีเหนือ อีกทั้งจีนยังมีการขู่ในทำนองว่าถ้าสหรัฐอเมริกาเล่นหนักต่อไป จีนจะห้ามส่งออกแร่หายาก ซึ่งจะกระทบต่ออุตสาหกรรมและทางด้านอาวุธของสหรัฐอเมริกา

 

ผู้เขียนเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังอยู่ในขั้นตอนที่จะต้องหลีกเลี่ยงเกมลบ เพราะแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงนั้น การยืดเยื้อของสงครามการค้าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีน รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในโลกได้รับผลกระทบจนถึงขั้นอาจเกิดวิกฤต หรืออย่างน้อยก็เกิดการตกต่ำทางเศรษฐกิจ (Recession) ได้

 

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ในการประชุมสุดยอด G20 นี้ ทรัมป์และสีจิ้นผิงอาจจะมีการตกลงในแง่หลักการกว้างๆ และให้ทั้งระดับรัฐมนตรีและข้าราชการของทั้งสองประเทศไปปรึกษาหารือและกำหนดรายละเอียดเพื่อหาข้อยุติในลักษณะเดียวกับที่ทั้งทรัมป์และสีจิ้นผิงเคยทำมาแล้วในการประชุมสุดยอด G20 ที่อาร์เจนตินาปีที่แล้ว กล่าวคือในการประชุมสุดยอด G20 ในปลายเดือนนี้ อย่างน้อยที่สุดทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกลงในแง่หลักการกว้างๆ และถ้าโชคดีก็จะนำไปสู่การเจรจาในรายละเอียดเพื่อหาข้อยุติสงครามการค้าในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดสถานการณ์โลกยังเป็นใจให้ทรัมป์ กล่าวคือเศรษฐกิจอเมริกายังเข้มแข็ง ในขณะที่เศรษฐกิจจีนอ่อนตัวลงชัดเจนยิ่งขึ้น ทรัมป์อาจเล่นเกมไม่ลงนามด้วยเหมือนที่ผ่านมา เพราะเป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งของทรัมป์คือการทำให้จีนอ่อนแอลง อันเป็นการป้องปรามไม่ให้จีนผงาดขึ้นมาแข่งกับสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจ

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising