วันนี้ (11 ธันวาคม) ที่รัฐสภา ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท ซึ่ง กกต. วินิจฉัยว่า เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 72
ปิยบุตรกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่เห็นด้วยกับมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างสิ้นเชิง พร้อมทั้งขอตั้งข้อเคลือบแคลงสงสัยต่อการทำงานของ กกต. ในการใช้ดุลพินิจและกฎหมาย ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยมิชอบ เนื่องจาก กกต. ได้มีการเร่งรัดคดีกู้เงินอย่างผิดสังเกต โดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีการเรียกไปสอบสวน มีเพียงให้ประธานคณะกรรมการไต่สวนเชิญไปชี้แจง 3 ครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นก็ให้ทางพรรคส่งเอกสารจำนวนมาก โดยบางส่วนเป็นเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี เช่น บัญชีค่าใช้จ่ายรายวันของพรรค ซึ่งเอกสารที่ร้องขอนั้นต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวนาน จึงไม่สามารถนำส่งได้ทัน ซึ่งถือเป็นการเร่งรัดอย่างผิดสังเกต รวมถึงกระบวนการในการทำคดีที่มีเอกสารหลุดออกมา เป็นเอกสารที่ลงนามโดยเลขาธิการ กกต. ซึ่งทาง กกต. ก็ยอมรับ
ขณะเดียวกัน กกต. มีมติขอให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยอ้างเหตุว่า มีความผิดตามมาตรา 72 ซึ่งความผิดตามมาตรา 72 คือการรับเงินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น เงินที่ได้จากการคอร์รัปชัน การทุจริต การฟอกเงิน และการขายยาเสพติด ฯลฯ
ตัวเองจึงสงสัยว่า เงินที่ได้จากการกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตรงไหน ซึ่งทาง กกต. ก็ไม่มีคำตอบให้ โดยขอตั้งข้อสังเกตการทำงานของ กกต. ว่าเป็นการทำงานโดยไม่เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง เมื่อมีนักร้องมาร้อง ก็หยิบเรื่องมาพิจารณา และในความเห็นของตนเอง วันนี้เป็นวันอัปยศอีกวันหนึ่งในการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จึงอยากให้ กกต. ออกมาฟังว่า สังคมพูดอะไร มีความเห็นต่อการทำงานของ กกต. อย่างไร และปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำงานขององค์กรอิสระเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา
“ผมสรุปแบบนี้ครับ วันนี้เป็นวันอัปยศอีกครั้งหนึ่งของการทำหน้าที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อยากจะให้ กกต. ออกมาเจอสังคมบ้าง ลองมาฟังบ้างว่า สังคมเขาพูดอะไรกันเกี่ยวกับการทำงานของ กกต.” ปิยบุตรกล่าว
อย่างไรก็ตาม พรรคอนาคตใหม่ขอยืนยัน เดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานในสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้รู้กันไปว่า พรรคการเมืองที่รวมตัวกันของคนที่ต้องการเห็นอนาคตประเทศไทยแบบใหม่ พรรคที่รวมตัวกันด้วยคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน และอยากเห็นอนาคตที่ดีกว่า รวมถึงเป็นพรรคที่ต้องการปฏิรูปการเมืองตามที่หลายฝ่ายต้องการจะไม่มีที่ยืนและจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งอยากให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบันฟังเสียงความต้องการของประชาชน ประชาชนว่าคิดอย่างไรกับการทำงานของผู้มีอำนาจในทุกวันนี้ และขอให้เห็นหัวประชาชนบ้าง
อีกทั้งขอเรียกร้องให้ประชาชนไทยอย่ายอมให้ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติให้กลายเป็นเรื่องปกติ อย่ายอมให้กระบวนการนิติสงครามเดินหน้าต่อไป เพราะวิธีการแบบนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ วันนี้หนังม้วนเก่ากำลังฉายซ้ำ แต่ยืนยันว่า หนังม้วนนี้จะจบไม่เหมือนเดิมแน่นอน
“ผมเรียกร้องไปยังประชาชนคนไทย อย่ายอมให้การยุบพรรคซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติ
“อย่ายอมให้กระบวนการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อประหัตประหารกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติให้กลายเป็นเรื่องปกติ
“อย่ายอมให้กระบวนการนิติสงครามเดินหน้าต่อไปได้ เรื่องเหล่านี้ผิดปกติ และไม่มีทางแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้
“ผมขอเรียกร้องให้สังคมไทยช่วยกันพินิจพิจารณาครับ
“ผมเรียนครับ หนังม้วนเก่าฉายซ้ำ กำลังจะเดินกล้องฉายซ้ำ แต่ยืนยันว่า หนังม้วนนี้จบไม่เหมือนเดิมแน่นอนครับ” ปิยบุตรกล่าว
ขณะเดียวกัน ขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้พรรคอนาคตใหม่ได้เข้าสู่การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม อย่าเร่งรัดในการตัดสิน และเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดี ส่วน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นั้น ขณะนี้ยังมีกำลังใจดี อุปสรรคการเมืองที่เกิดขึ้นไม่สามารถเดินหน้าขัดขวางการทำงานทางการเมืองของนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ได้
ส่วนคำวินิจฉัยครั้งนี้จะนำไปสู่การนำคนลงถนนหรือไม่นั้น ต้องบอกว่า ทุกวันนี้ความอึดอัดของประชาชนมีมาอย่างยาวนานจากการกระทำ 2 มาตรฐาน และการใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการตอกลิ่ม และพลเมืองคนไทยก็มีสิทธิในการแสดงออกว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ขณะที่การเดินหน้าตามพันธกิจสำคัญของพรรคอนาคตใหม่ให้เป็นไปตามที่ได้ประกาศเจตนารมณ์จะเรียกว่า เป็นสายล่อฟ้าได้หรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบ ขอให้ประชาชนเป็นผู้พิจารณาตัดสิน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล