หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยหุ้นที่ปรับขึ้นมากสุดคือ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ซึ่งราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น +38.39% รองมาคือ STEC +33.61%, UNIQ +27.85, RT +25.51% และ NWR +23.33%
และเมื่อเทียบดัชนีกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเดือนมีนาคม พบว่า +20.26% ซึ่งสูงกว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ +5.82%
ปัจจัยบวกที่ส่งให้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างกลับมาคึกคักอีกครั้ง คือการเร่งลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เริ่มเดินหน้าลงทุนแล้ว กลุ่มรับเหมาจะเป็นกลุ่มแรกและกลุ่มหลักที่ได้รับอานิสงส์เสมอ
ศักดิ์สิทธิ์ ผลมานะ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังจะมีงานโครงสร้างพื้นฐานรัฐรอเปิดประมูลราว 5.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยตรง และจะทำให้แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของกลุ่มนี้ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งยังเป็นชิ้นเค้กที่ลดความกดดันด้านการแข่งขันที่กดดันอุตสาหกรรมนี้มาตลอดปี 2653 เช่นกัน
ทั้งนี้ ในการเลือกลงทุนหุ้นรับเหมาก่อสร้าง แนะนำให้พิจารณาอัตราสินทรัพย์สุทธิต่อทุนหรือ Net Cash to Equity ซึ่งยิ่งต่ำก็จะยิ่งเป็นผลดี เนื่องจากสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการโครงการในมือ ปัจจัยพิจารณาถัดมาคือ แบ็กล็อกในมือ เพราะสะท้อนถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ และปัจจัยสุดท้ายคือ ประสบการณ์การรับงานภาครัฐ หากบริษัทใดมีประวัติการได้งานโครงการรัฐมายาวนาน หรือจำนวนมาก ก็มีแนวโน้มที่จะชนะการประมูลเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงด้วยคือปัจจัยด้านแรงงาน เนื่องจากงานรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะงานฐานรากและงานโยธานั้น แรงงานราว 70% เป็นแรงงานต่างด้าวจากประเทศเมียนมา ซึ่งปัจจัยกำลังอยู่ในภาวะการณ์ฉุกเฉินทางด้านการเมือง อีกทั้งยังต้องประคับประคองสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งอาจทำให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างของไทยประสบปัญหาาดแคลนแรงงานได้เช่นกัน
“งานโครงสร้างพื้นฐานรัฐในครึ่งปีหลังจะทำให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีความคึกคักขึ้นได้ ทั้งในด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นและแนวโน้มผลประกอบการ อีกทั้งยังช่วยลดความร้อนแรงในการแข่งขันระหว่างกันด้วย ย้อนกลับไปปี 2563 ที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนไม่ค่อยดี งานก่อสร้างมีน้อย ทำให้มาร์จิ้นของโครงการรับเหมาโดยรวมลดลงไปอยู่ที่ 11.8% จากปกติที่เคยอยู่ระดับ 17%”
หุ้นเด่นที่ บล.กสิกรเลือก คือ STEC และ TEAMG เนื่องจากมีแบ็กล็อกในมือค่อนข้างมาก ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ รวมถึงมีแนวโน้มที่จะมีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น จากการรับงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพิ่ม
ประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนมีนาคม ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกจากงานโครงการภาครัฐที่มีการเซ็นสัญญา หลังจากที่ชนะงานประมูลมาตั้งแต่ 1-2 ปีที่แล้ว และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากการ Laggard มานาน
“หากพิจารณาความเคลื่อนไหวราคาหุ้น พบว่ามีแรงเก็งกำไรกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ Outperform ตลาดมาราว 4 ปีได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานรายบริษัทแล้ว จะพบว่าไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะได้รับอานิสงส์จากงานโครงการรัฐที่เตรียมเปิดประมูล”
ภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างจะคึกคักขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยคาดการณ์ว่ารัฐน่าจะผลักดันงานประมูลออกมาราว 4.4 แสนล้านบาท ซึ่งหากผลักดันออกมาได้จริงตามคาด จะเป็นการจุดพลุรอบใหม่แก่กลุ่มอุตสาหกรรม เพราะเป็นมูลค่างานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะผลักดันงานได้ตามแผน เนื่องจากบางโครงการก็เข้าสู่กระบวนการเปิดซองไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงแนวโน้มผลประกอบการ งานโครงการที่เข้าประมูลในปีนี้อาจจะไม่ได้กลับมาเป็นรายได้ทั้งหมด บางโครงการอาจเริ่มต้นปลายปี และสร้างรายได้ให้กับ บจ. ในปีหน้า
ทั้งนี้ คำแนะนำการลงทุนสำหรับหุ้นรับเหมาก่อสร้างคือ เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน มีแบ็กล็อกจำนวนมากที่สามารถสร้างความมั่นคงทางรายได้ในระยะยาว และรับงานที่หลากหลายเพื่อให้สามารถบริหารจัดการมาร์จิ้นได้
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล