×

‘กองทุน’ หวนซื้อหุ้นไทย เดือน ส.ค. กวาดสุทธิ 1 หมื่นล้าน จับตาหุ้นไซส์กลาง-ใหญ่ เป้าหมายช้อปเข้าพอร์ต

22.08.2021
  • LOADING...
Net Purchases

ตลอดเดือนสิงหาคม 2564 นักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มกลับเข้ามาเป็นผู้ ‘ซื้อสุทธิ’ ในตลาดหุ้นไทย โดย ณ วันที่ 20 สิงหาคม พบว่า สถาบันในประเทศเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยแล้ว 10,034.11 ล้านบาท ขณะที่เดือนกรกฎาคม 2564 ขายสุทธิ 3,082.56 ล้านบาท และเดือนมิถุนายน 2564 ขายสุทธิ 3,490.67 ล้านบาท 

 

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า เริ่มเห็นนักลงทุนสถาบันเข้ามาเป็นผู้ซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นทิศทางที่ตรงกันข้ามกับในช่วงก่อนหน้านี้ที่ขายหุ้นไทยออกไปค่อนข้างมาก

 

สาเหตุที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มกลับเข้าซื้อสุทธิคาดว่าเป็นเพราะเริ่มคลายความกังวลเรื่องสถานการณ์โควิด และจำนวนผู้ติดเชื้อก็เริ่มลดลง อีกทั้งมองเห็นโอกาสในหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังและทั้งปีดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

 

“เรียกได้ว่าเป็นจุด U-Turn ของตลาดหุ้นแล้วก็ได้ ก่อนหน้านี้นักลงทุนสถาบันในประเทศขายมาระยะหนึ่ง และรอจังหวะเพื่อจะกลับเข้ามาซื้อในช่วงนี้ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังมีเรื่องใหญ่รออยู่ นั่นก็คือผลกระทบจากการทำ Tapering ของ Fed ซึ่งกระทบกับโฟลวทั่วโลก แต่หากมองโอกาสในประเทศก็จะเห็นว่ามีหุ้นไทยอีกมากที่ไม่ได้รับผลกระทบ และยังมีการเติบโตของกำไรที่ดีเกินคาด” 

 

ทั้งนี้ ประเมินว่า หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศอีกครั้งของไทย และหุ้นขนาดกลางและใหญ่ จะเป็นกลุ่มที่สถาบันในประเทศชื่นชอบและเข้าลงทุน อาทิ หุ้นกลุ่มโรงแรม และหุ้นที่แนวโน้มกำไรออกมาดี

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะประเมินว่าสถาบันในประเทศจะยังคงซื้อสุทธิอยู่ แต่น่าจะ Selective มากขึ้น และมูลค่าการเข้าซื้อสุทธิก็อาจจะเริ่มบาง เนื่องจากดัชนีเริ่มเข้าใกล้ระดับ 1,550 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนสถาบันติดตาม 

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มซื้อสุทธิหุ้นไทย เนื่องจากก่อนหน้านี้ขายออกไปค่อนข้างมาก ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงใกล้เท่ากับเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว รวมทั้งการขายสุทธิก่อนหน้านี้ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศมี Cash on Hand สูง และเมื่อดัชนีปรับลดลงจึงเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกรอบ 

 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องการคลายความกังวลต่อสถานการณ์โควิดในประเทศ หลังจากที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิดเริ่มทรงตัว แม้จะยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม จึงมองเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้น ขณะที่ความกดดันการประกาศนโยบายถอน QE น่าจะยังไม่ประกาศในการประชุม Fed รอบนี้ อีกทั้งเมื่อเทียบส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล (Earning Yield Gap) พบว่า ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นน่าสนใจเพิ่มขึ้น 

 

และการจัดงาน Thailand Focus ซึ่งจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ก็เป็นอีกปัจจัยบวกต่อมุมมองการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยจากสถิติแล้ว การลงทุนของกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศจะคึกคักในช่วง 1สัปดาห์ก่อนและหลังงานดังกล่าว 

 

อย่างไรก็ตามมองว่า เมื่อดัชนีปรับเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง สถาบันในประเทศก็พร้อมขายทำกำไร เนื่องจากพื้นฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ไม่ได้ดีมากนัก หลายสำนักวิจัยเห็นตรงกันว่ากำไร บจ. ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และครึ่งปีหลังน่าจะเป็นขาลง ซึ่งหมายความว่า ทุกการปรับขึ้นของดัชนีกำลังสะท้อนว่าราคาหุ้นแพงเกินไป 

 

“ส่วนการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากนั้นมองว่า ทำให้มีเงินไหลออกจากเงินฝากเข้าสู่กองทุนประเภทตราสารทางการเงินมากกว่ากองทุนหุ้น เนื่องจากกองทุนตราสารทางการเงิน หรือกองทุนใน Money Market อยู่ระดับความเสี่ยงเดียวกันกับการฝากเงิน เชื่อว่า คนที่ฝากเงินไว้จำนวนมากที่ธนาคารไม่ใช่คนประเภทที่สามารถรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นได้” ณัฐชาตกล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising