หนึ่งในผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดของผู้ประกอบการธุรกิจอาหารในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักคือ การที่ช่องทางรายได้ก้อนใหญ่ที่เคยได้รับเป็นประจำหายวับไปในพริบตา โดยเฉพาะเมื่องานอีเวนต์และงานเสวนาทั้งหลายมีอันต้องยกเลิกลงกลางคัน ประกอบกับภาครัฐและองค์กรหันมาใช้มาตรการ Work from Home แล้ว

ส่งผลให้เดิมที ร้านอาหารที่เคยรับเหมาทำข้าวกล่องและอาหารตามสั่งส่งตามออฟฟิศแล้วมีรายได้เป็นจำนวนมหาศาล จึงต้องปรับกลยุทธ์มาเน้นการทำอาหารกล่องตอบสนองลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ที่เน้นสั่งอาหารมารับประทานในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการจะบริโภคแทน

‘ข้าวกล่องอาม่า’ เป็นอีกหนึ่งในผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 แบบเต็มๆ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของพวกเขาคือ กลุ่มธุรกิจรับจัดงานอีเวนต์ องค์กร และสำนักงาน ทำให้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา รายได้ของพวกเขาหดหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือราว 50% เลยทีเดียว

รัตนา อภิเดชากุล เจ้าของร้านข้าวกล่องอาม่า วัย 76 ปี เปิดใจกับสำนักข่าว THE STANDARD ว่า เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ร้านอาหารของเธอได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รุนแรง โดยรายได้หายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่เคยขายข้าวกล่องได้เฉลี่ยวันละประมาณ 4,000 กล่อง ปัจจุบันลดลงเหลือวันละราว 1,000-2,000 กล่องเท่านั้น

ทำให้ช่วงนี้ร้านของเธอจึงต้องขยายเวลาเปิด-ปิดทำการ เพื่อให้สามารถเพิ่มช่องทางและเปิดโอกาสการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่เริ่มตั้งเตาผัดกับข้าวและเก็บครัวระหว่างเวลา 05.00-15.00 น. จึงต้องเปิดให้บริการต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. แทน เนื่องจากช่วงเวลากลางคืนยังคงมีลูกค้าที่ต้องการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีต่างๆ อยู่นั่นเอง

“รายได้ก็ลดลงไปเยอะ หายไปเกือบครึ่ง แต่พนักงานเรายังใช้เท่าเดิม ไม่ได้ลด ก็ต้องประคับประคองกันไป แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเครียดนะ เพราะเราไม่มีหนี้สิน เร่ิมต้นธุรกิจด้วยทุนที่น้อยด้วย เลยไม่เป็นหนี้ใคร มีกำไรนิดหน่อยๆ พอค่าแรงลูกน้อง 

“ถ้าคนงานบางคนเดินทางกลับต่างจังหวัด ก็จะไม่ใช้วิธีรับสมัครเพิ่ม รอเขากลับมาประจำการ ตอนนี้มีคนงานรวมทั้งในครัวและหน้าร้านประมาณ 45 คน ส่วนตัวยังตั้งใจจะทำไปเรื่อยๆ ไม่อยากหยุด ประคองไปเรื่อยๆ เพราะกลัวเปิดมาอีกทีแล้วลูกค้าหายหมด” รัตนากล่าว

‘Food for Heroes’ โครงการดีๆ ส่งกำลังใจให้บุคลากรแพทย์ผ่านข้าวกล่องเสิร์ฟร้อนๆ จากครัว แถมได้ช่วยร้านอาหาร

สารภาพตามตรงว่า เราเพิ่งจะรู้จักโครงการ ‘Food for Heroes’ เมื่อเร็วๆ นี้เอง โดยโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากไอเดียของ Event Banana แพลตฟอร์มจัดหาสถานที่จัดงานและอาหารสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการจัดงานอีเวนต์ เวิร์กช็อป สัมมนา จัดเลี้ยง เทรนนิ่ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นภาคธุรกิจองค์กรทั้งสิ้น

แนวคิดของ Event Banana มาจากการที่พวกเขาอยากเป็นแพลตฟอร์มตัวกลางร่วมส่งต่อกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหมอ พยาบาล ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในด่านหน้าของการรับมือกับโควิด-19 ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในภาคส่วนอื่นๆ ผ่านข้าวกล่องมื้อเที่ยง

ซึ่งทาง Event Banana จะร่วมกับเทใจ (taejai.com/th/d/foodforheroes/) ในการเปิดรับบริจาค เพื่อส่งมอบข้าวกล่องให้กับโรงพยาบาลรัฐทั้ง 7 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า, โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร, โรงพยาบาลจุฬาภรณ์, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และศูนย์แพทย์กาญจนาภิเษก 

สำหรับกำหนดการเบื้องต้น Event Banana ตั้งเป้าจะส่งมอบข้าวกล่องให้กับโรงพยาบาลวันละแห่งแห่งละ 300-400 กล่องต่อวัน หรือราว 7,500-8,000 กล่องต่อเดือน เวียนให้ครบทุกโรงพยาบาลในหน่ึงสัปดาห์ตลอดทั้งเดือนเมษายนนี้

ณัฐนิช ทองไกรแสน ซีอีโอ Event Banana กล่าวว่า “เราร่วมกับทางเทใจให้คนเข้ามาบริจาคเงินสมทบทุน โดยเราจะขอนำเงินส่วนนี้ไปซื้ออาหาร เลือกกระจายรายได้ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อย และเนื่องจากเราอยากทำให้เกิดอิมแพ็ก ในเฟสแรกเลยตั้งเป้ายอดบริจาคที่ 5 แสนบาท ส่วนในเฟสที่ 2 อยากให้ถึง 1 ล้านบาท จริงๆ ถ้าเรามียอดบริจาคที่เยอะขึ้น ก็จะสามารถดูแลโรงพยาบาลได้มากกว่านี้อีก โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ให้ความสนใจไม่ต่ำกว่า 10 แห่งแล้ว

“จริงๆ ตอนนี้มีคนที่ประสงค์อยากบริจาคอาหารให้กับโรงพยาบาลเยอะมาก แต่เราอยากให้เราสามารถเป็นตัวกลางให้กับทุกคนที่มีความต้องการอยากบริจาคอาหาร เราจะช่วยจัดตารางให้ได้ เพราะเรามีเครือข่ายซัพพลายเออร์มากมายในแต่ละสถานที่ จะได้ช่วยลดปัญหา Food Waste รวมถึงยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการอาหารรายย่อยได้อีกด้วย”

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือบริจาคเงินเพื่อร่วมสมทบทุนโครงการ Food for Heroes ได้ที่ taejai.com/th/d/foodforheroes/

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล