×

Moderna เผยผลทดลองวัคซีนโควิด-19 คืบหน้า เตรียมเข้าสู่เฟส 3, GDP สิงคโปร์ทรุดกว่าคาด เหตุโควิดกดดัน: 5 ปัจจัยที่นักลงทุนต้องรู้ (15 ก.ค. 2563)

โดย FINNOMENA
15.07.2020
  • LOADING...

– จับตาตัวเลขเศรษฐกิจ โดยวันนี้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีกำหนดแถลงมุมมองทางเศรษฐกิจประจำไตรมาสที่ 3 ซึ่งนักลงทุนยังคงจับตาอย่างต่อเนื่องว่า BOJ จะดำเนินนโยบายการเงินอย่างไรต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจำนวนผู้ติดโควิด-19 ในญี่ปุ่นเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่อังกฤษมีกำหนดประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะออกมาที่ 0.4% (YoY) ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 0.5% (YoY) จากการบริโภคที่ชะลอตัว สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

 

– Moderna บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากสหรัฐฯ เปิดเผยความคืบหน้าของวัคซีน mRNA-1273 ซึ่งเป็นวัคซีนต้านโควิด-19 ว่า จากการทดลองเฟสที่ 2 ในกลุ่มตัวอย่าง 45 คน พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้วัคซีนอาจป้องกันไวรัสได้ในระดับหนึ่ง พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ได้จัดทำเอกสารเพื่อทดลองเฟส 3 เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะเริ่มต้นภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยคาดว่าการทดลองเฟสดังกล่าวจะเกิดขึ้นร่วมกับสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ (NIAID) และหากประสบความสำเร็จ อาจทำให้บริษัทผลิตวัคซีนได้มากกว่า 500-1,000 ล้านโดสต่อปีในปี 2021

 

– สิงคโปร์ประกาศตัวเลข GDP ประจำไตรมาสที่ 2/2020 ออกมาที่ -12.6% (YoY) และ -41.2% (QoQ) แย่กว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ -10.5% (YoY) และ -37.4% (QoQ) ตามลำดับ เนื่องจากมาตรการปิดเมือง และการค้าระหว่างประเทศที่หยุดชะงักจากการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ด้าน ชานชุนซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ ระบุว่า การฟื้นตัวของ GDP สิงคโปร์ในอนาคตมีโอกาสจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากผลของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังทำให้คู่ค้าทั่วโลกฟื้นตัวไม่เต็มที่ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งอาจกดดันอีกทาง

 

– วานนี้ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์ภายหลังจากที่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของอังกฤษว่า รัฐบาลจะห้ามซื้ออุปกรณ์ชิ้นส่วน 5G ทั้งหมดนับตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ของ Huawei ที่ใช้อยู่เดิมออกให้หมดจากระบบเครือข่าย 5G ภายในปี 2027 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า เพื่อให้บริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคม อย่างเช่น บีที โวดาโฟน และทรี ได้มีเวลาปรับตัวในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การเลื่อนเวลาออกไปข้างหน้าถึง 7 ปีนั้น จะส่งผลให้การใช้งานระบบ 5G ล่าช้าด้วย โดยนักวิเคราะห์มองว่า ท่าทีดังกล่าวถือเป็นชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่พยายามหว่านล้อมให้อังกฤษยกเลิกการใช้บริการ Huawei มาอย่างยาวนาน เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านการจารกรรมข้อมูลลับ ซึ่งท่าทีนี้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับจีนต่อไป

 

– วานนี้ ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า การที่จีนประกาศอ้างกรรมสิทธิ์ในอาณาเขตทางทะเลที่เรียกว่า เส้นประ 9 เส้นในทะเลจีนใต้นั้น เป็นการกระทำที่ไร้ความชอบธรรมและผิดกฎหมาย อีกทั้งส่งเสริมให้ใช้อำนาจข่มเหงเพื่อควบคุมทรัพยากรเหล่านั้น ทำให้สหรัฐฯ ไม่อาจอยู่เฉยได้ ท่าทีที่ชัดเจนของวอชิงตันสร้างความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ มากขึ้นไปอีก หลังจากที่ระหองระแหงกันอยู่แล้วจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษซึ่งกันและกันว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไวรัสลุกลาม ด้านโฆษกประจำสถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ตอบโต้สหรัฐฯ ว่าเป็นการกระทำที่ ‘ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง’

 

ภาวะตลาดวานนี้

– ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 ที่ออกมาแข็งแกร่ง รวมไปถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปปรับตัวขึ้นที่ระดับ 0.6% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.5% สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง สวนทางกันกับตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของยุโรปปรับตัวขึ้นที่ 12.4% น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 15% ซึ่งบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

 

– สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังที่กลุ่ม OPEC+ อาจขยายเวลาลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปี รวมไปถึงการคาดการณ์ที่ว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ จะปรับตัวลง โดยตัวเลขจะประกาศในค่ำคืนนี้ ด้านสัญญาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อยจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยออกมาบางส่วน อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจับตาประเด็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

สหรัฐฯ

– Dow Jones อยู่ที่ 26642.59 เพิ่มขึ้น 556.79 (2.13%)

– S&P 500 อยู่ที่ 3197.52 เพิ่มขึ้น 42.3 (1.34%)

– Nasdaq อยู่ที่ 10488.58 เพิ่มขึ้น 97.73 (0.94%)

 

ยุโรป

– DAX อยู่ที่ 12697.36 ลดลง -102.61 (-0.8%)

– FTSE 100 อยู่ที่ 6179.75 เพิ่มขึ้น 3.56 (0.06%)

– Euro Stoxx 50 อยู่ที่ 3321.39 ลดลง -28.61 (-0.85%)

– FTSE MIB อยู่ที่ 19879.75 ลดลง -123.5 (-0.62%)

 

เอเชีย

– Nikkei 225 อยู่ที่ 22587.01 ลดลง -197.73 (-0.87%)

– S&P/ASX 200 อยู่ที่ 5941.1 ลดลง -36.4 (-0.61%)

– Shanghai อยู่ที่ 3414.62 ลดลง -28.67 (-0.83%)

– SZSE Component อยู่ที่ 13996.46 ลดลง -152.68 (-1.08%)

– China A50 อยู่ที่ 15840.2 ลดลง -184.79 (-1.15%)

– Hang Seng อยู่ที่ 25477.89 ลดลง -294.23 (-1.14%)

– Taiwan Weighted อยู่ที่ 12209.01 ลดลง -2.55 (-0.02%)

– SET อยู่ที่ 1341.07 ลดลง -1.3 (-0.1%)

– KOSPI อยู่ที่ 2183.61 ลดลง -2.45 (-0.11%)

– IDX Composite อยู่ที่ 5079.12 เพิ่มขึ้น 14.68 (0.29%)

– BSE Sensex อยู่ที่ 36033.06 ลดลง -660.63 (-1.8%)

– PSEi Composite อยู่ที่ 6172.81 ลดลง -24.57 (-0.4%)

 

Commodity

– ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 40.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.91 (2.3%)

– ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อยู่ที่ 43.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.86 (2.04%)

– ราคาทองคำ อยู่ที่ 1809.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 7.11 (0.4%)

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง: 

  • Infoquest
  • Bloomberg
  • Investing
  • CNBC
  • Reuters
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising