– จับตาตัวเลขเศรษฐกิจ โดยวันนี้สหรัฐฯ มีกำหนดประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานประจำเดือนพฤษภาคม (Core CPI) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ -0.1% (MoM) ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ -0.4% (MoM) แต่ยังเป็นการหดตัวต่อเนื่องสู่เดือนที่ 3 ขณะที่จีนจะประกาศอัตราเงินทั่วไป (CPI) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ -0.5% (MoM) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เช่นเดียวกัน สืบเนื่องจากการบริโภคชะลอตัวจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
– มาเชตัน อาห์ยา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจโลกของ Morgan Stanley ระบุว่า แม้ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ยกเลิกและระงับข้อตกลงเฟส 1 กับจีน เนื่องจากในเวลานี้รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก สอดคล้องกับทางการจีนที่ย้ำในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะทำงานต่อไปเพื่อสนับสนุนข้อตกลงการค้าเฟส 1 แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญมองว่า รัฐบาลปักกิ่งไม่น่าจะทำตามเงื่อนไขที่ต้องซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐฯ เพิ่มเป็นจำนวนมาก สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กดดันการบริโภคในช่วงที่ผ่านมา
– ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจดิจิทัลต่างประเทศ ซึ่งไม่มีบริษัทลูกในไทย ครอบคลุมแพลตฟอร์มหลากหลายทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ดาวน์โหลดหนัง เพลง เกม การจองโรงแรม พร้อมยืนยันว่าจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับรัฐมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี
– Well Fargo หนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เผยคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อาจปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1% และอาจแตะที่ระดับ 1.5% จากความกังวลที่ลดลง หลังเศรษฐกิจกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ในระดับตํ่าสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.50% จากความกังวลการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอยรุนแรง
– วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 4 คน สนับสนุนให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการการสื่อสาร พิจารณาปรับเปลี่ยนกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโซเชียลมีเดียของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้ง หลัง Twitter ได้แบนทวีตในข้อหา ‘สนับสนุนความรุนแรง’ เมื่อช่วงที่ผ่านมา และขอให้ไตร่ตรองมาตรา 230 ในเรื่องของ ‘เจตนา’ ในโซเชียลมีเดียให้มีความชัดเจนมากขึ้น
ภาวะตลาดวานนี้
– ดัชนี Dow Jones และ S&P 500 ปรับตัวลงจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนหลังตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหุ้นกลุ่มที่โดนแรงเทขายมากสุดเป็นกลุ่มสายการบินและเรือสำราญหลังปรับตัวขึ้นมาแรงเมื่อวาน สวนทางกับดัชนี Nasdaq ที่ปรับตัวขึ้นจากแรงเข้าซื้อของนักลงทุนที่เชื่อมั่นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเติบโตไปได้ต่อ แม้มีความตึงตัวของเศรษฐกิจในช่วงนี้ ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงจากแรงเทขายของนักลงทุน หลังมีความเห็นไม่ตรงกันของประเทศสมาชิกเรื่องจัดสรรเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในยุโรปได้
– สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากแนวโน้มด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นรวมไปถึงความคาดหวังที่สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงจากปัจจัยดังกล่าว ลดความกังวลที่จะเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด ด้านสัญญาทองคำปรับตัวขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก แสดงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจอาจยังไม่ฟื้นตัว สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนให้เข้าซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
สหรัฐฯ
– Dow Jones อยู่ที่ 27272.3 ลดลง -300.14 (-1.09%)
– S&P 500 อยู่ที่ 3207.18 ลดลง -25.21 (-0.78%)
– Nasdaq อยู่ที่ 9953.75 เพิ่มขึ้น 29.01 (0.29%)
ยุโรป
– DAX อยู่ที่ 12617.99 ลดลง -201.6 (-1.57%)
– FTSE 100 อยู่ที่ 6335.72 ลดลง -136.87 (-2.11%)
– Euro Stoxx 50 อยู่ที่ 3320.71 ลดลง -45.58 (-1.35%)
– FTSE MIB อยู่ที่ 19930.2 ลดลง -301.18 (-1.49%)
เอเชีย
– Nikkei 225 อยู่ที่ 23091.03 ลดลง -87.07 (-0.38%)
– S&P/ASX 200 อยู่ที่ 6144.9 เพิ่มขึ้น 146.2 (2.44%)
– Shanghai อยู่ที่ 2956.11 เพิ่มขึ้น 18.34 (0.62%)
– SZSE Component อยู่ที่ 11284.24 เพิ่มขึ้น 68.48 (0.61%)
– China A50 อยู่ที่ 13935.02 เพิ่มขึ้น 62.14 (0.45%)
– Hang Seng อยู่ที่ 25057.22 เพิ่มขึ้น 280.45 (1.13%)
– Taiwan Weighted อยู่ที่ 11637.11 เพิ่มขึ้น 26.79 (0.23%)
– SET อยู่ที่ 1408.37 ลดลง -30.29 (-2.11%)
– KOSPI อยู่ที่ 2188.92 เพิ่มขึ้น 4.63 (0.21%)
– IDX Composite อยู่ที่ 5035.06 ลดลง -35.51 (-0.7%)
– BSE Sensex อยู่ที่ 33956.69 ลดลง -413.89 (-1.2%)
– PSEi Composite อยู่ที่ 6583.84 เพิ่มขึ้น 69.84 (1.07%)
Commodity
– ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 38.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง -0.34 (-0.88%)
– ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อยู่ที่ 40.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.1 (0.25%)
– ราคาทองคำ อยู่ที่ 1713.34 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 15.81 (0.93%)
อ้างอิง:
- Infoquest
- Bloomberg
- Investing
- CNBC
- Reuters
