FINMA หน่วยงานกำกับดูแลการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญในการควบรวมกิจการเครดิตสวิสของ UBS คือ การปรับลดมูลค่าพันธบัตรมูลค่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ลงให้เหลือศูนย์ โดย FINMA ระบุว่า พันธบัตรชั้นหนึ่ง หรือ Tier One Bonds ถือเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยง จะต้องถูกลดมูลค่าให้เป็นศูนย์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจและโกรธเคืองในหมู่ผู้ถือหุ้นกู้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเงื่อนไขดังกล่าวทำให้การลงทุนของตนเองกลายเป็นไร้ค่าในทันที
นักกลยุทธ์ด้านเครดิตของ Goldman Sachs กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงถึงความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับนักลงทุน AT1 นับตั้งแต่การเกิดของสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวหลังวิกฤตการเงินโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- UBS ปิดดีลเทกโอเวอร์ Credit Suisse ควัก 3 พันล้านฟรังก์สวิส หวังคลายแรงกดดันตลาด
- บทเรียนจาก Credit Suisse ‘เมื่อความเชื่อมั่นสูญสิ้น ประวัติศาสตร์ 167 ปีต้อง (เกือบ) สิ้นสุด’
- ซีอีโอ UBS สั่งห้ามพนักงานแชร์ข้อมูลธุรกิจกับ Credit Suisse จนกว่า
ดีลควบรวมจะสมบูรณ์ แย้มเตรียมเลิกจ้างครั้งใหญ่เพื่อลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม เอลิซาเบธ รัดแมน หัวหน้าสถาบันการเงินระดับโลกที่ DBRS Morningstar มองว่า ความเคลื่อนไหวของ FINMA ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจแต่อย่างใด เพราะ AT1 เป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่รองรับความสูญเสียอยู่แล้ว และ FINMA ได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว
ทั้งนี้ พันธบัตร AT1 หรือที่รู้จักในชื่อ ‘CoCos’ เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของทุนการกำกับดูแลของธนาคาร ผู้ถือสามารถแปลงเป็นทุนหรือจดบันทึกได้ในบางสถานการณ์ เช่น เมื่ออัตราส่วนเงินกองทุนของธนาคารต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับ AT1 ถูกสร้างขึ้นหลังวิกฤตการณ์ทางการเงิน เพื่อเป็นวิธีการเปลี่ยนความเสี่ยงจากผู้เสียภาษีในสถานการณ์วิกฤต เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงสูง AT1 จึงมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรอื่นๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ถือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ AT1 มักคาดหวังว่าจะได้รับค่าชดเชยเมื่อพันธบัตรถูกตัดจำหน่าย แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของมูลค่าเดิมก็ตาม แต่ Credit Suisse กลับกล่าวว่า ไม่สามารถให้มูลค่าชดเชยใดๆ ในกรณีนี้ได้ เนื่องจากตอนนี้พันธบัตรดังกล่าวไม่มีมูลค่าเหลือแล้ว
นอกจากจะสร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ถือหุ้นแล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังทำให้หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าอาจเป็นชนวนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสินเชื่อทั่วโลกและพันธบัตร AT1 จากสถาบันการเงินรายใหญ่อื่นๆ ได้ ซึ่งรัดแมนมองว่า จะส่งผลกระทบต่อมุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับพันธบัตรและจำนวนเงินที่นักลงทุนยินดีจ่ายให้กับ AT1 ต่อไป โดยอธิบายว่า ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของ AT1 ที่ลดลงไป แต่ความเสี่ยงจะแนบมากับการกำหนดราคาและวิธีที่นักลงทุนประเมินอัตราผลตอบแทนที่ตนเองต้องการ
ด้านนักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจของ FINMA เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับการลงทุนใน AT1 โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องทบทวนการตัดสินใจต่อการลงทุนใน AT1 โดยรวมทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะแค่ของเดรดิตสวิส โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องมองหาผลตอบแทนท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเงินที่สูงขึ้นนี้
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ UBS บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของเครดิตสวิสมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ โดยการซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางสวิส รัฐบาลสวิส และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของสวิส โดยธนาคารกลางสวิสให้คำมั่นว่าจะจัดสรรเงินกู้ยืมจำนวนสูงถึง 1 แสนล้านสวิสฟรังก์ (1.08 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนการซื้อกิจการ ขณะที่รัฐบาลสวิสได้อนุมัติวงเงินค้ำประกัน 9 พันล้านดอลลาร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงให้กับ UBS
สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า ภายหลังการประกาศเข้าซื้อกิจการ หุ้นของ UBS ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในบ่ายวันจันทร์ที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนปิดตลาดปรับตัวสูงขึ้น 1.2% ฟื้นตัวจากการขาดทุนกว่า 14% ก่อนหน้า สวนทางกับหุ้นของ Credit Suisse ซึ่งปรับตัวร่วงหนัก โดยปิดต่ำกว่า 55% ขณะที่ดัชนีหุ้นในกลุ่มธนาคารโดยรวมของยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2%
คอล์ม เคลเลเฮอร์ ประธาน UBS กล่าวว่า การควบรวมดังกล่าวจะทำให้ธนาคารกลายเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ที่มีสินทรัพย์การลงทุนรวมมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ และจะเป็นโอกาสที่คุ้มค่าและยั่งยืนสำหรับ UBS
ด้าน เนล เชียริง หัวหน้ากลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ของ Capital Economics กล่าวว่า การครอบครอง Credit Suisse อย่างสมบูรณ์อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยุติข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของ Credit Suisse ในฐานะธุรกิจ แต่เงื่อนไขดังกล่าวก็จะทำให้ข้อตกลงมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องจับตามองมากขึ้น
ขณะที่ทางด้าน Saudi National Bank หรือ SNB ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Credit Suisse เปิดเผยว่า SNB ขาดทุนอย่างหนัก หลัง UBS บรรลุข้อตกลงที่จะเข้าซื้อกิจการ Credit Suisse ในวงเงิน 3.2 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ SNB ถือหุ้น 9.9% ใน Credit Suisse หลังจากที่ได้เข้าลงทุนในเดือนพฤศจิกายน 2022 ด้วยการเข้าซื้อหุ้น Credit Suisse ในราคาหุ้นละ 3.82 ฟรังก์สวิส คิดเป็นวงเงินรวม 1.4 พันล้านฟรังก์สวิส (1.5 พันล้านดอลลาร์)
ภายใต้ข้อตกลงควบรวมกิจการ UBS เข้าซื้อหุ้น Credit Suisse ในราคาเพียงหุ้นละ 0.76 สวิสฟรังก์ ส่งผลให้ SNB ขาดทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือขาดทุนถึง 80% จากการเข้าลงทุนใน Credit Suisse
อย่างไรก็ดี SNB ออกแถลงการณ์ระบุว่า ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวจะไม่กระทบต่อแผนการขยายธุรกิจของทางธนาคาร โดยการลงทุนของ SNB ใน Credit Suisse คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.5% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของทางธนาคาร และการขาดทุนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของ SNB
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2023/03/20/17-billion-of-credit-suisse-bonds-worthless-following-ubs-takeover.html
- https://www.cnbc.com/2023/03/20/saudi-national-bank-loses-over-1-billion-on-credit-suisse-investment.html
- https://www.cnbc.com/2023/03/20/ubs-shares-tumble-after-emergency-rescue-of-rival-credit-suisse.html