×

‘ไพบูลย์’ หวังรัฐบาลเพิ่มสิทธิกองทุนลดหย่อนภาษีเกิน 5 แสนบาท/ปี พร้อมฟื้นแนวทาง LTF เน้นหุ้นไทย หวังช่วยพยุงตลาด

13.11.2023
  • LOADING...

ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ตัวแทนจากฝั่งตลาดทุน อาทิ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) จะเข้าหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอการต่ออายุกองทุนรวมเพื่อการออม หรือ Super Saving Funds (SSF) ที่จะหมดอายุสิ้นปี 2567 พร้อมเสนอปรับปรุงเงื่อนไขบางส่วน เพื่อให้กองทุนดังกล่าวเข้าถึงประชาชนให้ออมเงินได้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนระยะยาวรูปแบบใหม่ที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทย 

 

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า กองทุน SSF ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่ไม่ได้สร้างการออมเงินสำหรับคนรุ่นใหม่ได้ดีเท่าที่ควร หากเปรียบเทียบกับกองทุน LTF ในอดีต จะเห็นว่าเงินทุนที่ไหลเข้ากองทุน SSF อยู่ที่ปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เทียบกับกองทุน LTF ที่มีเงินไหลเข้าปีละประมาณ 5 หมื่นล้านบาท 

 

ปัจจุบันเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะสั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีที่น้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนมากขึ้นและไม่มีแรงซื้อเข้ามาพยุงในเวลาที่หุ้นลดลงหนัก

 

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ากองทุน SSF น้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมา ไพบูลย์เชื่อว่าสาเหตุคือ “การใช้วงเงินเดียวกับการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประเภทอื่น รวมทั้งหมด 5 แสนบาทต่อปี”​

 

เดิมทีวงเงินสำหรับสิทธิลดหย่อนภาษีระหว่างกองทุน LTF และกองทุนประเภทอื่นจะแยกกันอย่างละ 5 แสนบาท รวมทั้งหมดเป็น 1 ล้านบาท ทำให้ประชาชนที่มีรายได้สูงและมีศักยภาพที่จะลงทุนสามารถลงทุนได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วงเงินที่จะขอเพิ่มนี้จะได้เท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความเห็นของภาครัฐ ซึ่งต้องพิจารณาในเรื่องข้อจำกัดด้านงบประมาณและรายได้ของภาครัฐในแต่ละปี

 

ส่วนกรอบระยะเวลาการลงทุนของกองทุน SSF ในปัจจุบันที่กำหนดไว้ 10 ปี ไพบูลย์มองว่าระยะเวลาที่ยาวขึ้นกว่าที่ผู้ลงทุนจะสามารถขายกองทุนได้ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะกองทุนเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการลงทุนระยะยาวและการออมเป็นหลัก 

 

ส่วนกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ที่จะเสนอให้จัดตั้งขึ้นมา รายละเอียดในเบื้องต้นจะเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนหุ้นไทยเป็นหลัก คล้ายกับกองทุน LTF ในอดีตที่กำหนดให้ลงทุนในหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% โดยกองทุนใหม่จะเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืน (ESG) ซึ่งในตลาดหุ้นไทยมีอยู่ประมาณ 200 บริษัท 

 

“การโฟกัสที่หุ้น ESG จะช่วยผลักดันให้บริษัทต่างๆ ตื่นตัวในเรื่อง ESG หากต้องการจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาในหุ้นของตัวเอง” 

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือต้องเร่งพัฒนาคุณภาพและความน่าสนใจของหุ้นไทยขึ้นมาด้วย ปัจจุบันประชาชนหันไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องเร่งยกระดับคือการผลักดันเศรษฐกิจโดยรัฐบาลและหน่วยงานในตลาดทุนที่ต้องช่วยกันยกระดับพื้นฐานของหุ้นไทยให้ดีขึ้น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising