F1 จบฤดูกาล 2024 ลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยชัยชนะของ แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน ในประเภทบุคคล และแม็คลาเรนคว้าแชมป์โลกในประเภททีมผู้ผลิต
แต่กว่าปลายทางจะมาถึงจุดนี้ F1 ฤดูกาล 2024 ผ่านอะไรมาอย่างมากมายและมีข่าวใหญ่หลายต่อหลายครั้ง
THE STANDARD SPORT จึงอยากพาทุกท่านย้อนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นผ่านโปสเตอร์ BREAKING ของ F1 เรียงตามไทม์ไลน์ เพื่อให้ง่ายต่อการนึกย้อนไปของทุกคนในวันแรกที่เห็นโปสเตอร์เหล่านี้
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน F1 ฤดูกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป
F1 ฤดูกาล 2024 เปิดมาด้วยข่าวใหญ่ที่ใครได้ยินหรือได้รับรู้ก็ต่างตกใจ เพราะหนึ่งในนักขับที่ดีที่สุดตลอดกาลและประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานกับทีมเมอร์เซเดสอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน ตัดสินใจไม่ไปต่อกับทีมหลังจบฤดูกาลนี้
แฮมิลตันเลือกใช้เงื่อนไขการปล่อยตัวเขาออกจากทีมหลังหมดสัญญาในปีแรกตามสัญญาที่เซ็นเอาไว้ในปีก่อน
ข่าวดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาลก่อน F1 เปิดฤดูกาลใหม่ ท่ามกลางเครื่องหมายคำถามที่ว่าเขาจะไปไหน แต่นั่นไม่ต้องให้รอนาน เพราะปลายทางที่ท่านเซอร์เลือกก็ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็วและชัดเจน
ข่าวการย้ายไปร่วมทีมเฟอร์รารีของ ลูอิส แฮมิลตัน ในฤดูกาล 2025 สร้างความตกใจและช็อกต่อแฟนๆ ในศึกฟอร์มูลาวันไปทั่วโลก
โดยในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทย ทีมเฟอร์รารีก็ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าท่านเซอร์จะย้ายมาร่วมทีมในปี 2025 ด้วยสัญญา 2 ปี และมีเงื่อนไขการขยายสัญญาเพิ่มอีก 1 ปีด้วย
ทำให้แฟนๆ รู้กันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าฤดูกาล 2024 จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของแชมป์โลก 7 สมัยกับทีมดาวเงิน และทุกคนก็จะได้เห็นแฮมิลตันในชุดสีแดงในการแข่งขัน F1 ฤดูกาล 2025 แน่นอนแล้ว
ข้ามไปในเดือนเมษายน ข่าวใหญ่อีกหนึ่งข่าวของวงการ F1 ก็เกิดขึ้น เมื่อ เอเดรียน นิวอี สุดยอดวิศวกรผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการออกแบบรถให้ เรดบูล เรซซิง ประกาศยุติบทบาทกับทีมและยืนยันการออกจากทีม
จุดเริ่มต้นของการแยกทางของนิวอีกับเรดบูลเกิดขึ้นจากคดีอื้อฉาวของ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ ที่เกิดขึ้นในช่วงปิดฤดูกาล โดยรายงานระบุว่า เขาไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การตัดสินใจแยกทางในครั้งนี้
ข่าวการแยกทางกับอัลพีนของ เอสเตบัน โอคอน อาจจะดูไม่ใช่ข่าวใหญ่มากมายเมื่อเทียบกับกรณีของ ลูอิส แฮมิลตัน และ เอเดรียน นิวอี ที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้านั้น แต่การที่โอคอนต้องออกจากทีมในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอัลพีนเตรียมทีมให้พร้อมกับอนาคตที่จะมาถึงแล้ว
ตรงกันข้ามกับทีมอัลพีนที่แยกทางกับนักแข่งหนุ่มวัยไม่ถึง 30 ปี แต่แอสตัน มาร์ติน เลือกที่จะไปต่อกับนักขับจอมเก๋าชาวสเปนที่ปัจจุบันวัย 43 ปี โดยรายงานระบุว่า เฟร์นานโด อลอนโซ จะต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี จนกระทั่งจบฤดูกาล 2026 ซึ่งจะทำให้เขาได้ขับ F1 จนอายุ 45 ปีเป็นอย่างน้อย
การต่อสัญญาของ เซร์คิโอ เปเรซ นักขับชาวเม็กซิโกกับทีมเรดบูล เรซซิง ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอยู่บ้างสำหรับแฟนๆ ในตอนนั้น แต่หลังจากนั้นผลงานของเขาก็ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย
อย่างไรก็ตาม การต่อสัญญาที่เกิดขึ้นทำให้ ‘เชโก้’ มีสัญญากับทีมกระทิงแดงเหลืออีกถึง 2 ปีเต็ม หรือจนกระทั่งปี 2026 เลยทีเดียว
ในตอนที่คิก เซาเบอร์ ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ นิโก อูร์เคนแบร์ก เมื่อเดือนเมษายน พวกเขาคงยังไม่รู้ว่านี่คือหนึ่งในการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาที่เลือกจะดึงนักขับชาวเยอรมันมาร่วมทีมเป็นเวลา 3 ปี
เพราะหลังจากนั้นอูร์เคนแบร์กนับได้ว่าเป็นเดอะแบกของทีมฮาส เขาทำคะแนนรวมเกือบจะติดอันดับท็อป 10 ของฤดูกาล แต่ก็มาโดน ปิแอร์ แกสลีย์ เบียดไปคว้าอันดับ 10 ได้ในสนามสุดท้าย แต่การจบอันดับ 11 กับฮาสก็ถือว่าน่าประทับใจมาก
นอกจากนี้การที่คิก เซาเบอร์ ดึงเขาเข้ามาในทีม ก็อาจบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับทีมในอนาคตด้วย
ยูกิ สึโนดะ ได้รับการต่อสัญญาออกไปอีก 1 ปีจากเรดบูล เพื่อให้เขาอยู่กับทีมอาร์บีในปี 2025 แม้ว่าในปีนี้นักขับชาวญี่ปุ่นอาจไม่ได้ทำผลงานได้ดีเท่าที่ทีมคาดหวังก็ตาม
ในฐานะทีมลูกของเรดบูล เรซซิง ทีมอาร์บีปีนี้ถือว่าทำผลงานได้น่าผิดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นสึโนดะก็มีผลงานดีที่สุดในทีม และด้วยวัยเพียง 24 ปีทำให้เรดบูลยังเชื่อมั่นว่าเขาจะพัฒนาได้ในอนาคต
ทางเลือกของอัลพีนมีไม่มากนักหลังจากตัดสินใจไม่ไปต่อกับ เอสเตบัน โอคอน และหนึ่งในทางเลือกนั้นคือการต่อสัญญากับ ปิแอร์ แกสลีย์ เพื่อให้ทีมไม่ต้องไปหานักขับใหม่ถึง 2 คนพร้อมๆ กัน
ดังนั้นในเดือนมิถุนายนแกสลีย์จึงได้รับการต่อสัญญาเพิ่มตามความคาดหมาย โดยเป็นการเซ็นสัญญายาว 2 ปี นั่นหมายความว่าเขาจะได้ไปต่อกับทีมในยุคใหม่ฤดูกาล 2026 เป็นอย่างน้อยนั่นเอง
นับเป็นอีกหนึ่งดีลเซอร์ไพรส์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็ว่าได้สำหรับการต่อสัญญากับ แลนซ์ สโตรลล์ ของแอสตัน มาร์ติน เพราะก่อนหน้านี้สื่อบางแห่งและแฟนๆ จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าแอสตัน มาร์ติน อาจจะอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในทีม และเมื่อต่อสัญญากับ เฟร์นานโด อลอนโซ แล้ว คนที่ไปอาจจะต้องเป็นสโตรลล์
แต่สุดท้ายแอสตัน มาร์ติน ก็เลือกขยายสัญญากับเขาออกไปจนถึงปี 2026 เป็นอย่างน้อยไม่ต่างจากอลอนโซ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทีมหลังการต่อสัญญากับสโตรลล์ ก็ทำให้ทีมนี้น่าสนใจมากขึ้นในปี 2025 ด้วย
การเปลี่ยนแปลงของฮาสเกิดไล่เลี่ยกันในเวลาไม่ถึงเดือน โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมพวกเขาเซ็นสัญญากับ โอลิเวอร์ แบร์แมน หลังนักขับดาวรุ่งรายนี้แจ้งเกิดกับเฟอร์รารีในช่วงที่ คาร์ลอส ไซน์ซ เข้ารับการผ่าตัด โดยการเข้ามาของแบร์แมนถือเป็นการทดแทนที่พวกเขาต้องเสีย นิโก อูร์เคนแบร์ก ไปให้คิก เซาเบอร์ ก่อนหน้านี้
ในช่วงกลางเดือนฮาสก็ประกาศแยกทาง เควิน แม็กนุสเซน นักขับเดนมาร์ก หลังจบฤดูกาลนี้ และในช่วงปลายเดือนพวกเขาก็ยืนยันการเซ็นสัญญากับ เอสเตบัน โอคอน ที่แยกทางกับอัลพีนไปก่อนหน้านี้มาร่วมทีมเพื่ออุดรอยรั่วของแม็กนุสเซนเป็นที่เรียบร้อย
เท่ากับว่าฮาสใช้เวลาแค่เพียงไม่ถึง 1 เดือน จัดการอนาคตของพวกเขาในฤดูกาล 2025 เสร็จเรียบร้อยเลย
หลังการมายังเฟอร์รารีของ ลูอิส แฮมิลตัน ทำให้ คาร์ลอส ไซน์ซ ต้องหลุดออกจากทีม และเขาก็ได้ทีมใหม่อย่างรวดเร็วด้วยการไปเป็นคู่หูกับ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักขับชาวไทย ที่วิลเลียมส์ เรซซิง
ขณะที่อัลพีนก็อุดช่องว่างหลังปล่อย เอสเตบัน โอคอน พ้นทีม ด้วยการดัน แจ็ค ดูฮาน ขึ้นไปขับให้กับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลหน้าคู่กับ ปิแอร์ แกสลีย์ ทำให้นักขับชาวออสเตรเลียที่เซ็นสัญญากับอัลพีนมาตั้งแต่ปี 2022 จะได้ประเดิมขับ F1 อย่างเป็นทางการในปี 2025 แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าโอกาสของเขามาเร็วกว่าที่คาดอยู่เล็กน้อย
หลังจากยืนยันการแยกทางกับ เซอร์ลูอิส แฮมิลตัน ตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทีมเมอร์เซเดสก็เงียบมาตลอด จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคมพวกเขาก็ตัดสินใจยืนยันว่า อันเดรีย ‘คิมี’ อันโตเนลลี จะกลายมาเป็นนักขับคนใหม่ของทีมคู่กับ จอร์จ รัสเซลล์ ในฤดูกาล 2025
อันโตเนลลีเรียกได้ว่าเป็นเด็กปั้นของเมอร์เซเดส หลังถูกเซ็นเข้าทีมเยาวชนตั้งแต่ปี 2019 และเป็นนักขับทดสอบของทีมอยู่แล้ว ดังนั้นการดันเขาขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์มากมายนัก
หลังแยกทางกับเรดบูลมาตั้งแต่ต้นฤดูกาลในช่วงเดือนกันยายน ปลายทางของ เอเดรียน นิวอี ก็ถูกกำหนด แต่มันกลับไม่ใช่เฟอร์รารีเหมือนในข่าวลือช่วงแรกๆ แต่กลับเป็นแอสตัน มาร์ติน
นิวอีเซ็นสัญญายาว 5 ปีกับทีมแอสตัน มาร์ติน และจะรับค่าแรงสูงสุดถึงปีละ 30 ล้านปอนด์ หรือราว 1,293 ล้านบาท
การบรรลุข้อตกลงกับนิวอีในครั้งนี้แอสตัน มาร์ติน เปิดเผยว่า พวกเขามองไปถึงความสำเร็จระดับสูงในวงการ F1 เนื่องจากนิวอีประสบความสำเร็จในฐานะนักออกแบบที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้จากการพาทีมต่างๆ ในศึก F1 คว้าแชมป์โลกมาแล้วถึง 25 รายการ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงปลายเดือนกันยายน และไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นไปในทิศทางนี้ หลัง แดเนียล ริคเคียร์โด นักขับชาวออสเตรเลีย ถูกทีม RB ปลดออกจากตำแหน่งนักขับตัวจริง พร้อมดัน เลียม ลอว์สัน ขับแทนในช่วงเวลาที่เหลือของศึก F1 ฤดูกาล 2024
นักแข่งชาวออสเตรเลียวัย 35 ปีรายนี้ถูกทีม RB ดรอปขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 6 สนาม เนื่องจากฝ่ายบริหารของทีมไม่มั่นใจในผลงานของเขา
การให้ลอว์สันนั่งตำแหน่งนี้ในช่วงท้ายฤดูกาลจะทำให้ RB สามารถประเมินผลงานของเขาตลอดการแข่งขันในเรซที่เหลือได้ ก่อนที่ทีมจะตัดสินใจสำหรับฤดูกาล 2025 ต่อไป
ต้นเดือนพฤศจิกายน F1 มีการขยับตำแหน่งนักขับอีกครั้ง โดยเป็นทีมคิก เซาเบอร์ ที่ตัดสินใจแยกทางกับทั้ง วัลท์เทอรี บอททาส และ โจวกวนอวี่ ไปพร้อมๆ กัน
โดยในตอนแรกที่เซาเบอร์ได้ตัว นิโก อูร์เคนแบร์ก มาในช่วงต้นปีก็มีกระแสว่า นักขับคนใดคนหนึ่งระหว่างบอททาสหรือโจวอาจต้องหลุดจากทีมไปหลังจบฤดูกาลนี้ แต่กลายเป็นว่างานนี้ไปทั้งคู่
โดยคนที่มาแทนก็ถูกประกาศพร้อมกันกับการแยกทางทันที โดยเป็นทาง กาเบรียล บอร์โตเลโต นักขับชาวบราซิลคนแรกในลีก นับตั้งแต่ ปิเอโตร ฟิตติปัลดี ที่เคยขับในปี 2020 และถ้าหากนับเฉพาะนักขับบราซิลที่เกิดในบราซิลแล้ว เขาเป็นคนแรกต่อจาก ฟิลิปเป มาสซา ที่ลา F1 ไปหลังจบฤดูกาล 2017 ด้วย
และข่าว BREAKING ครั้งสุดท้ายในศึก F1 ฤดูกาล 2024 เกิดขึ้นก่อนการแข่งขันสนามสุดท้ายเพียงสัปดาห์เดียว หลังทีมอัลพีนตัดสินใจให้ แจ็ค ดูฮาน นักขับดาวรุ่งวัย 21 ปีจากออสเตรเลียเข้ามาแทนที่ เอสเตบัน โอคอน นักขับชาวฝรั่งเศส ในการแข่งขันสนามสุดท้ายของฤดูกาล 2024 ที่อาบูดาบีกรังด์ปรีซ์
แม้ก่อนหน้านี้จะมีการยืนยันว่าดูฮานจะเข้ามาแทนที่โอคอนในปี 2025 อยู่แล้ว แต่อัลพีนก็ตัดสินใจประกาศให้ดูฮานเข้ามาขับในสนามสุดท้ายเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง เพื่อให้โอคอนได้ขับให้กับฮาส ทีมใหม่ของเขา ในการทดสอบรถหลังจบฤดูกาลที่อาบูดาบีในวันที่ 10 ธันวาคม ทันที
และนี่คือความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปี 2024 และหมายดีลก็สืบเนื่องไปยังอนาคตในปี 2025 นั่นเอง