×

อังกฤษชำระแค้น / ไม่ใช่วันของมุลเลอร์ / ก้าวที่ไกลที่สุดของยูเครน

โดย THE STANDARD TEAM
30.06.2021
  • LOADING...
อังกฤษชำระแค้น / ไม่ใช่วันของมุลเลอร์ / ก้าวที่ไกลที่สุดของยูเครน

ในที่สุดฟุตบอลยูโร 2020 ก็ได้ 8 ทีมสุดท้ายเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศครบถ้วน โดย 2 ชาติสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาเมื่อคืนก็คือ อังกฤษที่เอาชนะเยอรมนีไปได้ 2-0 และยูเครนที่ปล่อยหมัดน็อกใส่สวีเดนในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของการต่อเวลาพิเศษ 2-1 และนี่คือประเด็นที่เกิดขึ้น

 

ความแค้น 55 ปีที่อังกฤษชำระลงในเวมบลีย์

นับจากปี 1966 เป็นต้นมา ที่ทีมชาติอังกฤษได้แชมป์ฟุตบอลโลก สนามเวมบลีย์ก็เหมือนสวนหลังบ้านของเยอรมนีมากกว่าอังกฤษ เพราะทุกครั้งที่อินทรีเหล็กมาเจอกับสิงโตคำรามที่สนามแห่งนี้ พวกเขาไม่เคยแพ้กลับไปเลย ก่อนหน้าเกมเมื่อคืน เยอรมนีมาเยือนที่นี่ 7 เกม พวกเขาชนะได้ถึง 5 เกม และเสมอ 2 เกม แม้จะเปลี่ยนจากเวมบลีย์เก่ามาเป็นเวมบลีย์ใหม่ในปี 2007 แล้วก็ตาม สถิติก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะนับตั้งแต่เปิดใช้สนามใหม่แห่งนี้มา คู่รักคู่แค้นของพวกเขาก็มาเอาชนะได้ถึง 2 เกม และเสมอไปอีก 1 เกม

 

หนึ่งในความเจ็บปวดที่แฟนบอลอังกฤษและ แกเร็ธ​ เซาท์เกต น่าจะจำได้ดีที่สุดคือ ความพ่ายแพ้จากการดวลลูกที่จุดโทษในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโร 1996 เพราะในวันนั้นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในตอนนี้ เป็นคนที่ยิงพลาด จนทำให้ทีมพ่ายและตกรอบไป แม้ว่าเรื่องจะผ่านมาถึง 25 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าเซาท์เกตไม่น่าจะลืมเหตุการณ์ในวันนั้น เขาเคยออกมาบอกตั้งแต่ฟุตบอลโลกเมื่อ 3 ปีก่อนแล้วว่า มักจะให้ลูกทีมซ้อมยิงลูกที่จุดโทษในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เสมอ ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นผลจากความผิดพลาดในอดีตด้วย

 

หลังจากประตูของ ราฮีม สเตอร์ลิง และ แฮร์รี เคน ตามมาด้วยเสียงนกหวีดยาวจบเกม นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปีที่พวกเขาเอาชนะเยอรมนีในบ้านตัวเองได้สำเร็จ พร้อมกับผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายโดยยังไม่เสียประตูให้ใคร ซึ่งนี่เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นที่อังกฤษเก็บคลีนชีตได้ใน 4 เกมแรกของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ระดับชาติ อีกครั้งที่พวกเขาทำได้คือในฟุตบอลโลก 1966 และพวกเขาก็จบลงด้วยตำแหน่งแชมป์โลกในบั้นปลาย

 

อย่างไรก็ตาม จุดแตกต่างระหว่างฟุตบอลยูโรครั้งนี้กับฟุตบอลโลก 1966 จะอยู่ในนัดหน้าที่อังกฤษต้องออกไปเล่นนอกบ้านเป็นนัดแรกและนัดเดียว (ถ้าหากพวกเขาเอาชนะมาได้) เพราะหลังจากนั้นในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศรวม 3 เกม การแข่งขันจะกลับมาจัดที่เวมบลีย์ทั้งหมด ซึ่งมันเป็นเส้นทางที่แฟนบอลอังกฤษใฝ่ฝัน โดยที่พวกเขาเฝ้ารอที่จะพาฟุตบอลกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปถึงจุดนั้น แฟนๆ คงฉลองที่ได้ก้าวข้ามจากเยอรมนีเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษได้สำเร็จกันก่อน

 

ในวันที่เลวร้ายของ โธมัส มุลเลอร์ 

หากเมื่อคืนวันจันทร์ไม่ใช่วันของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ฉันใด เมื่อคืนก็ไม่ใช่วันของ โธมัส มุลเลอร์ ฉันนั้น แม้เขาจะได้ลงเล่นฉลองการทำสถิติที่ลงสนามติดกันมา 26 เกมให้ทีมชาติเยอรมนี ซึ่งกลายเป็นสถิติสูงสุดเทียบเท่ากับที่ เมซุต โอซิล ทำเอาไว้ระหว่างปี 2010-2018 แต่ผลงานของเจ้าตัวในเกมนี้เรียกได้ว่า ‘ดับสนิท’ และแม้ความพ่ายแพ้ของเยอรมนีคงโทษเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่มุลเลอร์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินทรีเหล็กเล่นไม่ออกในเกมนี้

 

นอกจากการหลุดเดี่ยวไปแล้วยิงไม่เข้าจนพลาดการได้ประตูตีเสมอแล้ว มุลเลอร์เจอวันที่เลวร้ายกว่านั้น เกมนี้เขาจ่ายบอลเสียถึง 9 ครั้ง และ 4 ครั้งถูกอังกฤษพาบอลไปถึงหน้าปากประตูของเยอรมนีเพื่อลุ้นสกอร์ เท่านั้นยังไม่พอ เขาเลี้ยงบอลเข้าหาคู่แข่ง 13 ครั้งในเกมนี้ และเลี้ยงผ่านได้แค่ 3 ครั้ง ที่เหลืออีก 10 ครั้งคือเสียบอล และเอาชนะการแย่งบอลกลางอากาศกับฝั่งอังกฤษแค่ครั้งเดียว จากการขึ้นไปแย่งโหม่ง 8 ครั้ง

 

ถึงแม้จะรู้ว่ามุลเลอร์มีอาการบาดเจ็บตั้งแต่เกมกับโปรตุเกสในนัดที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่ม แต่ผลงานที่ออกมาในเกมนี้มันย่ำแย่เกินไป ซึ่งในอีกมุมก็อาจจะต้องไปโทษ โยอาคิม เลิฟ ที่ฝืนเข็นนักเตะลงเล่นทั้งที่สภาพนั้นย่ำแย่ จนทำให้ผลงานในสนามตกต่ำไปด้วย เพราะอย่าลืมว่ามุลเลอร์คือหัวใจในเกมรุก ถ้าเขาเล่นแย่ ทั้งทีมก็จะเสียจังหวะในการเล่นไปพร้อมๆ กัน

 

อย่างไรก็ตาม การโทษแนวรุกจากบาเยิร์น มิวนิก ให้เป็นแพะในเกมนี้เพียงคนเดียวมันก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายเกินไป เพราะนักเตะอีกหลายคนในทีมก็เล่นไม่ออกเหมือนกัน ทั้ง โรบิน โกเซนส์, เลออน โกเร็ตซกา และ ติโม แวร์เนอร์ เหล่านี้เป็นโจทย์ที่ ‘บุนเดสเทรนเนอร์’ คนต่อไปอย่าง ฮันซี ฟลิก ต้องมาจัดการ แต่สำหรับบทบาทของเลิฟและเยอรมนีในยูโร 2020 ได้จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ก้าวที่ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลยูเครน

ถ้าจะบอกว่าชัยชนะของยูเครนคือเรื่องเหนือความคาดหมายก็คงพอพูดได้อยู่ เพราะก่อนเกมนี้ลงสนาม เสียงส่วนใหญ่ก็เชื่อมั่นว่าสวีเดนจะเป็นฝ่ายเอาชนะ และเข้าไปสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ จากผลงานการไม่แพ้ใครตลอดรอบแบ่งกลุ่ม ประกอบกับฟอร์มอันร้อนแรงของนักเตะหลายคน โดยเฉพาะ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ที่ยิงไปแล้ว 3 ประตูก่อนเกม และมีลุ้นในการแย่งอันดับดาวซัลโว

 

อย่างไรก็ตาม ประตูชัยท้ายเกมของ อาร์เต็ม โดบิก ก็เป็นประตูที่ส่งยูเครน เข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ และเป็นการเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายครั้งแรกของพวกเขาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอีกด้วย เรียกได้ว่าพวกเขามาไกลชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดก็ว่าได้

 

เครดิตส่วนหนึ่งที่ทีมมาได้ไกลขนาดนี้คงต้องยกให้เป็นความดีความชอบของ อังเดร เชฟเชนโก อดีตกองหน้าระดับตำนานของชาติ ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม เขากล้าที่จะใช้นักเตะอายุน้อยในทีมอย่าง เฮออร์ฮี ซูดาคอฟ หรือ อิลิยา ซาบาร์นี ที่มีอายุ 18 ปีทั้งคู่ และกล้าพอที่จะเปลี่ยนตัวให้นักเตะที่ไม่มีประสบการณ์ลงไปในสนาม และกลายเป็นตัวแปรสำคัญ ทั้ง อาร์เต็ม เบเซดิน ที่เรียกใบแดงได้ หรือ อาร์เต็ม โดบิก ที่โหม่งประตูชัย

 

ณ จุดนี้คงไม่เกินไปถ้าจะเรียกพวกเขาว่า ‘ม้ามืด’ ประจำการแข่งขัน และอย่าเพิ่งกาชื่อพวกเขาทิ้ง แม้จะต้องไปเจอกับทีมที่ยังไม่เสียประตูให้ใครอย่างอังกฤษ เพราะอย่าลืมว่าในเกมหน้า อังกฤษจะต้องเล่นกับยูเครนที่สตาดิโอ โอลิมปิโก กรุงโรม ไม่ใช่เวมบลีย์ สเตเดียม ในลอนดอน เหมือนที่เคยเป็นมา ดังนั้นเกมนี้อาจจะเป็นอีกเกมที่ทีมของเชวาสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมก็ได้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising