หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และมีแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมานั้น ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการเสพสื่ออย่างชัดเจน มีการดูโทรทัศน์น้อยลง หันมาดูแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีในส่วนของดิจิทัลมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เราสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ละเอียดมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวว่า “การทำการตลาดแบบคิด Big Idea เดียว แล้วหว่านออกไปยังกลุ่มเป้าหมายในทุกๆ ช่องทาง อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดอีกต่อไป” ในยุคแห่งดาต้านั้น ทันทีที่ลูกค้ามี Interact กับแบรนด์
เราจะสามารถแยกลูกค้าออกเป็นเซกเมนต์ย่อยๆ จากดาต้าเชิงพฤติกรรมที่ลูกค้าแสดงออกมา จากนั้นจึงคิดเมสเสจเพื่อที่จะสื่อสารกับลูกค้าตามเซกเมนต์ย่อยๆ เหล่านั้นที่แตกต่างกันไป “ในบางแคมเปญ เราอาจต้องคิดเมสเสจหลายร้อยหลายพันเมสเสจ หรือในบางกรณี อาจจะไปถึงขั้นการทำ Personalized Marketing”
ทำการตลาดยุคนี้จึงต้องเป็น Modern Marketing ซึ่งครอบคลุมไปถึงการมองหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ จากการวิเคราะห์ดาต้า, การหา Consumer Insight โดยไม่ต้องทำโฟกัสกรุ๊ป แต่หาจากคลาวด์เก็บข้อมูลบนโซเชียลแทน, การทำแทร็กกิ้งในเชิงพฤติกรรมเพื่อทำการตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation), การออกแบบ Customer Experience บนดิจิทัล, การทำ Marketing Attribution เพื่อหาโมเดลในการแบ่งงบการใช้มีเดียให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีการนำ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย
สิ่งที่จะเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนนักการตลาดในยุคต่อไป นอกจากจะเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ (Creative) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) แล้ว นักการตลาดยังจะต้องมีการปรับตัวให้เกิด Mindset ใหม่ๆ ในการทำงาน เช่น เปลี่ยนการทำงานแบบ Exposure Marketing ที่อัดเงินทำแคมเปญโฆษณา แล้วหวังว่าจะดังเปรี้ยงๆ ยอดขายถล่มทลาย
กลายมาเป็น Engagement Marketing ที่แบรนด์ลุกขึ้นมาทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าจริงๆ ที่ไม่ใช่แค่การเน้นขายของ หรืออาจจะเป็น Mindset ในการทำงาน จากเดิมเน้นงานพิถีพิถัน ซึ่งใช้เวลาในการทำงานนานมากๆ เปลี่ยนมาเป็นการทำงานแบบสตาร์ทอัพ ที่เน้นความรวดเร็ว และตอบโจทย์หลักของลูกค้าจริงๆ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
