อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลกและแม่ทัพของ Tesla เพิ่งพบว่า เงินในกระเป๋าตัวเองนั้นหายไป 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 7 แสนล้านบาท ใน 1 วัน หลังจากหุ้นของยักษ์รถไฟฟ้าลดลงมากถึง 9.7%
การลดลงของราคาหุ้นเป็นการตอบสนองต่อคำเตือนของ Tesla ว่าอาจต้องลดราคารถยนต์ไฟฟ้าต่อไป ทำให้เกิดความกลัวว่ากำไรจะลดลง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
หุ้นที่ดิ่งลงเหวเป็นตัวสะท้อนกลับของอัตรากำไรขั้นต้นที่แตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากการลดราคารถยนต์ไฟฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่สำคัญมีการประเมินว่า Tesla อาจต้องลดราคาลงเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- อีลอน มัสก์ หวังสร้าง xAI ให้เข้าใจจักรวาล พร้อมให้ทำงานร่วมกับ Twitter และ Tesla เพื่อสู้ศึกกับคู่แข่งอย่าง OpenAI
- ข่าวฉาวของ Twitter และ อีลอน มัสก์ โอกาสที่หอมหวนเกินห้ามใจของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จนนำมาสู่การเปิดตัว Threads ที่อาจช่วยพลิกฟื้นรายได้ Facebook
- โดนลูบคมยอมได้ไง! Twitter กล่าวหา Meta ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาในการพัฒนา Threads ฟาก อีลอน มัสก์ ย้ำ “การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ แต่การโกงไม่ใช่”
การสูญเสียที่มัสก์ถือเป็นการลดลงที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ที่เคยบันทึกไว้ในบรรดามหาเศรษฐีที่มีชื่ออยู่ในดัชนี Bloomberg Billionaires Index
แต่ถึงอย่างนั้นมัสก์ก็ยังคงเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ช่องว่างระหว่างเขากับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 2 อย่าง เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานเครือสินค้าหรู LVMH จะลดลง แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีก็ยังรวยกว่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์อยู่ดี
ในวันเดียวกัน มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีชั้นนำรายอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา ก็มีวันที่ยากลำบากเช่นกัน โดยสูญเสียมูลค่าสุทธิรวม 2.08 หมื่นล้านดอลลาร์ กลุ่มนี้รวมถึง เจฟฟ์ เบโซส์ จาก Amazon, แลร์รี เอลลิสัน จาก Oracle, สตีฟ บอลเมอร์ อดีตซีอีโอของ Microsoft, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จาก Meta และผู้ร่วมก่อตั้ง Alphabet อย่าง แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน
ความมั่งคั่งของมัสก์ส่วนใหญ่มาจากการถือครองในธุรกิจต่างๆ ของเขา ได้แก่ Tesla บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด, SpaceX ผู้ผลิตยานอวกาศและบริษัทขนส่งอวกาศ และ Twitter แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม
ถึงเงินในกระเป๋าจะหายไป แต่ความมั่งคั่งของมัสก์ก็เพิ่มขึ้นประมาณ 1.18 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยสาเหตุหลักมาจากการที่หุ้นของ Tesla เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งถึง 136% ในทางกลับกัน เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานเครือสินค้าหรู LVMH ความมั่งคั่งรวมเพิ่มขึ้นเพียง 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้น 26% ในหุ้นของ LVMH
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่ออาณาจักรของมัสก์เติบโตขึ้น ก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบที่มากขึ้นเช่นกัน ล่าสุดเขาได้ก่อตั้งบริษัทปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในเนวาดา ที่เรียกว่า xAI ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Google Bard และ ChatGPT ของ OpenAI โดยต้องการให้ xAI ทำงานร่วมกับ Tesla ในการพัฒนาซอฟต์แวร์และชิป
ขณะเดียวกันความเป็นเจ้าของ Twitter ทำให้มีการเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตรวจสอบความสัมพันธ์ของมัสก์กับ Twitter และประเด็นด้านบรรษัทภิบาลที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า ทรัพยากรของ Tesla รวมถึงความสามารถ เวลา และเงิน ถูกใช้เพื่อสนับสนุนกิจการต่างๆ ของเขามากเพียงใด ซึ่งมีตั้งแต่ SpaceX ไปจนถึง Neuralink บริษัทสตาร์ทอัพส่วนต่อประสานสมองกับคอมพิวเตอร์ และ The Boring Co. บริษัทก่อสร้างอุโมงค์และโครงสร้างพื้นฐาน เหล่านี้สมเหตุสมผลหรือเป็นประโยชน์ต่อ Tesla หรือไม่
สิ่งสำคัญคือ ต้องเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมหลายบริษัทของมัสก์ สิ่งเหล่านี้รวมถึงการขาดสมาธิและโอกาสที่พนักงานจะหมดไฟมากขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นวิกฤตที่ลุกลามในที่สุด
อ้างอิง: