×

EFORL ‘หุ้นต่ำบาท’ ที่ราคาร้อนแรง แต่นักวิเคราะห์เตือนให้ระวัง เหตุขาดพื้นฐานรองรับ ทั้งยังติดมาตรการกำกับดูแลขั้นสูงสุด

23.09.2021
  • LOADING...
EFORL

บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) นับเป็นอีกหนึ่ง ‘หุ้นต่ำบาท’ ที่ราคาหุ้นวิ่งแรลลี่ร้อนแรงแบบไม่มีพักมาเป็นเวลาเกือบ 4 เดือนแล้ว โดยราคาหุ้นเริ่มขยับปรับตัวขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ปรับฐานะจากหุ้นราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินยืนนิ่งแถว 0.04 บาทมาอย่างยาวนาน ยกระดับขึ้นเป็นหุ้นสิบสตางค์ ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายหนาแน่นจนมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจากหลัก ‘แสนบาท’ มายืนที่เฉลี่ยหลัก ‘ล้านบาท’ ได้ในเดือนเดียวกัน

 

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น EFORL ยังคงเดินหน้าไต่ระดับทำ All Time High อย่างต่อเนื่องในเดือนสิงหาคม จนราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปยืนเหนือ 0.20 บาทได้ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายหนาแน่นมากขึ้นและขยับจากหลักล้านบาทต่อวันมาเป็นหลักร้อยล้านบาทได้ในบางวันทำการ

 

กระทั่งเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น EFORL วิ่งขึ้น แตะ 0.28 บาท พุ่งขึ้น 27.27% เกือบชนเพดานสูงสุดหรือซิลลิ่งของวัน ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1.18 พันล้านบาท นับเป็นระดับราคาสูงสุดใหม่ หรือ New High ในรอบเกือบ 4 ปี และด้วยสาเหตุนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงได้สอบถามไปยังบริษัทว่ามีพัฒนาการใดๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้น EFORL หรือไม่ หลังพบสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากวันก่อนหน้า

 

พร้อมทั้งเตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง โดยมีคำสั่งให้หุ้น EFORL เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3 นักลงทุนห้ามซื้อขายแบบหักกลบลบหนี้ และห้ามนำไปคำนวณวงเงินซื้อขาย โดยจะต้องซื้อหุ้นด้วยเงินสด (Cash Balance) เท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 8-28 กันยายน ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ราคาหุ้น EFORL ก็ยังทรงตัวอยู่ที่ 0.26 บาท

 

ในกรณีนี้ บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม ชี้แจงต่อ ตลท. ว่าบริษัทไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่ยังไม่ได้เปิดเผย หรือสารสนเทศที่มีนัยสำคัญที่อยู่ระหว่างพิจารณาและจะต้องเปิดเผยในระยะเวลาอันใกล้ รวมทั้งระบุว่าบริษัทไม่ทราบถึงสาเหตุอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหุ้นด้วย

 

อย่างไรก็ตามในวันเดียวกันนี้ ปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) ได้เปิดเผยข้อมูลต่อสื่อว่า บริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือแพทย์ สเปรย์พ่นจมูกป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสทางโพรงจมูกและลำคอ ภายใต้แบรนด์ระดับโลก VirX ที่ผลิตโดยบริษัท SaNOtize by Nextar Chempharma Solutions Ltd. ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเดียวกันกับสเปรย์พ่นจมูกแบรนด์ SaNOtize และ Enovid แต่ในประเทศไทยใช้แบรนด์ VirX, Enovid Nasal Spray ได้รับการทดสอบและยืนยันจากต่างประเทศว่าสามารถลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสโควิดได้ 95% ภายใน 24 ชั่วโมงและ 99% ภายในเวลา 72 ชั่วโมง โดยคาดว่าจะวางจำหน่ายได้กลางเดือนกันยายนนี้

 

นอกจากนี้ยังระบุว่า บริษัทจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคโควิดทุกระยะของโรค ได้แก่ ระยะป้องกัน VirX Nasal Spray, Rapid ATK, เครื่องอบฆ่าเชื้อด้วยก๊าซโอโซนระยะต้น VirX Nasal Spray, เครื่องผลิตออกซิเจน, เครื่องวัดระดับออกซิเจนที่ปลายนิ้วมือระยะปานกลาง เครื่อง Oxygen High Flow, เครื่องติดตามการทำงานของสัญญาณชีพระยะอาการหนัก เครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยหนัก, เครื่อง Patient Monitor ระยะฟื้นฟูร่างกาย เครื่องตรวจสมรรถภาพปอด, เครื่องบริหารปอด

 

รวมทั้งบริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสนับสนุนให้รายได้ในปีนี้เติบโตทะลุเป้าหมายกว่า 2 พันล้านบาท

 

ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์เป้าหมายรายได้หลัก 2 พันล้านบาทของ EFORL แล้วจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ EFORL สามารถสร้างรายได้กักตุนไว้แล้ว 1,026.44 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 120.42 ล้านบาท แตกต่างจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน 373.22 ล้านบาท โดยมีรายได้เพียง 767.81 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปดูในช่วง 3 ปี (2561-2563) ที่ผ่านมา จะพบว่า EFORL มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ขาดทุน 166.31 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้ 2,090.40 ล้านบาท ปี 2562 ขาดทุน 272.67 ล้านบาท มีรายได้ 1,994.08 ล้านบาท และปี 2563 ขาดทุน 299.06 ล้านบาท มีรายได้ 1,680.36 ล้านบาท

 

หากทำความรู้จัก EFORL เพิ่มมากขึ้นจะพบว่า EFORL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552 ภายใต้ชื่อเดิมคือ บมจ.แอปโซลูท อิมแพค (AIM) ซึ่งขณะนั้นประกอบธุรกิจให้บริการและผลิตสื่อโฆษณาภายในอาคาร เช่น สื่อโฆษณา ทั้งระบบดิจิทัลผ่านจอภาพ 3 มิติ และจอภาพ 2 มิติ และสื่อโฆษณา ณ จุดขายภายในอาคารต่างๆ โดยมี บริษัท อดามัส เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนั้น

 

AIM ได้เข้าซื้อๆ ขายๆ กิจการต่างๆ หลายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 AIM ได้ลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท สเปซเมด ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ในราคาหุ้นละ 287.83 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14.39 ล้านบาท จากนั้นได้ดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ รวมทั้งดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ.อี ฟอร์ แอล จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

 

ปี 2557 บมจ.อี ฟอร์ แอล ได้จัดตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCI Holding) เพื่อเข้าถือหุ้นใน บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (WCIG) โดย WCIG เป็นกลุ่มธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ในธุรกิจเสริมความงามและผิวพรรณอย่างครบวงจร ภายใต้ชื่อ วุฒิศักดิ์ คลินิก มีสาขาให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งต่อมา วุฒิศักดิ์ คลินิก มีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องและต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

 

ปัจจุบัน EFORL ดำเนินธุรกิจหลักเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีบริษัทย่อยประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และให้บริการด้านความงาม รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ กลุ่มทองแตง เข้ามาถือหุ้นใหญ่ตั้งแต่ปี 2562 โดยล่าสุด ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก (22 มิถุนายน 2564) ประกอบด้วย

 

  1. วิชัย ทองแตง จำนวน 6,366,682,716 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 16.45%
  2. พิมพ์เพ็ญ ดีพันธุ์พงษ์ จำนวน 5,620,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 14.52%
  3. DBS BANK LTD. FOR CLIENT AC SG0021800435 จำนวน 2,400,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.20%
  4. ร.อ. ชาคริต ศึกษากิจ จำนวน 1,765,128,400 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.56%
  5. ศุภชัย วัฒนาสุวิสุทธิ์ จำนวน 1,087,283,733 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.81%

 

ปรีชา นันท์นฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานบริษัทเพิ่มขึ้น เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องมือทางการแพทย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคโควิดซึ่งมียอดขายโตเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะเดียวกันบริษัทได้เน้นการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี ส่งผลให้มีความสามารถในการทำกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งได้ปรับกลยุทธ์กลับมาให้ความสำคัญกับธุรกิจการจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน


ส่วนแนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังนี้ก็คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้เพิ่มต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ในมือ (Backlog) รวมกว่า 500 ล้านบาท เช่น เครื่องช่วยหายใจ, เครื่องมอนิเตอร์สัญญาณชีพผู้ป่วย (Patient Monitor), เครื่องตรวจสมรรถภาพปอดแบบ Portable, เครื่อง Oxygen High Flow ฯลฯ และคาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโควิด ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการสูง รวมทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศในการนำเครื่องมือทางการแพทย์ในรูปแบบต่างๆ เข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม

 

นับตั้งแต่ต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น EFORL ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว 333% ขณะที่ดัชนีกลุ่มอุปโภคบริโภค ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 140% และดัชนี mai ปรับเพิ่มขึ้น 162% ส่งผลให้อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาต่อกำไรหุ้น หรือค่า P/E Ratio พุ่งขึ้นมาที่ 53 เท่า สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 37 เท่า และเกือบใกล้เคียง PE ตลาดที่ 58 เท่า จากก่อนหน้านี้ไม่สามารถวัดค่า PE ได้

 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในมุมมองของนักวิเคราะห์ EFORL ถือเป็นหุ้นที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐาน จึงไม่มีโบรกเกอร์ใดประเมินพื้นฐานที่แท้จริงได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน

 

ด้าน ชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน สายงายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่ามุมมองด้านเทคนิค EFORL ยังอยู่ในโหมดรีบาวด์ทิศทางขาขึ้นได้ โดยมีแนวต้านที่ 0.28 บาท และ 0.30 บาท อย่างไรก็ตามปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง สะท้อนแรงซื้อที่ชะลอตัว และหากหมดแรงเก็งกำไรก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะหลุด 0.23 บาทได้

 

นอกจากนี้นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างชัดเจนว่าบริษัทดำเนินธุรกิจใด แนวโน้มธุรกิจจะมีทิศทางต่อไปอย่างไร และการที่ ตลท. กำหนดให้เข้าข่ายมาตรการกำกับดูแลระดับ 3 ส่งสัญญาณว่ามีความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน

 

“การลงทุนในหุ้นเก็งกำไร ยิ่งเป็นหุ้นตัวเล็กมากยิ่งต้องระวังมาก หุ้นตัวนี้ไม่มีโบรกเกอร์รายไหนวิเคราะห์ เพราะไม่มีพื้นฐาน การที่หุ้นขึ้นมาติดๆ กัน 5 วันทำการ แล้วอยู่ๆ วอลุ่มก็ลดลง แสดงว่าแรงซื้อหายไป และนักลงทุนยังรอปัจจัยใหม่ๆ มาสนับสนุนตลาด ถือว่าตลาดมีความเสี่ยง หุ้นตัวนี้ก็มีความเสี่ยงด้วย” ชาญชัยกล่าว

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising