สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จัดเสวนาวิชาการในรูปแบบออนไลน์หัวข้อ ‘จาก ESB สู่ EEC กับการเป็นเขตพัฒนาพิเศษระดับโลก’
โดยมีผู้ร่วมสัมมนา คือ ดร.เสนาะ อูนากูล ประธานคณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สกพอ., ดร.อาณัติ อาภาภิรม ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สกพอ., ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานมูลนิธิเสนาะ อูนากูล และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ EEC
การเสวนาในครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนและนักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยเข้าร่วมรับฟังกว่า 70 คน เช่น กานต์ ตระกูลฮุน กรรมการ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย, คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BDMS, วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน, จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น เป็นต้น
สำหรับการเสวนาครั้งนี้ได้ฉายภาพแนวคิดการพัฒนาโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ ‘อีสเทิร์นซีบอร์ด’ (ESB) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) ซึ่งเป็นช่วงการพัฒนาประเทศที่สำคัญของไทย โดยผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในสมัยนั้น และได้ผลักดันให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ของภาคเอกชน ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วงกว่า 30 ปีก่อนเติบโตแบบก้าวกระโดด
โครงการดังกล่าวยังมีความต่อเนื่องมายังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 และ 7 ที่ช่วยให้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 9.3% ซึ่งแนวคิดจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 ดังกล่าว จะเป็นต้นแบบสำคัญเพื่อเตรียมการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งพบผลกระทบจากสถานการณ์โควิด และเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใกล้เคียงกับในอดีต
นอกจากนี้ การพัฒนาพื้นที่อีอีซีในปัจจุบันยังได้นำแนวคิดและต่อยอดสิ่งสำคัญที่ได้รับจากอีสเทิร์นซีบอร์ด เช่น แนวคิดให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่อง ด้วยการมี พ.ร.บ. และสำนักงานอีอีซี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ สนามบินอู่ตะเภา ขยายท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบัง รถไฟความเร็วสูง ลดการพึ่งพางบประมาณรัฐและเงินกู้
ขณะเดียวกัน ด้วยสัญญาที่เปิดทางให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ PPP ที่มีความโปร่งใส รัดกุม และรัฐยังได้ประโยชน์สูงสุด การส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น 5G ระบบโซลาร์เซลล์ ยานยนต์ไฟฟ้า และการสร้างงานให้เยาวชนในพื้นที่มีรายได้ดี รวมทั้งทำงานกับท้องถิ่น กลุ่มสตรี เยาวชน เพื่อให้โครงการอีอีซีอยู่คู่กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ อีอีซีจะปรับแผนทำงานให้หนักเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อเร่งลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด โดยจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนสูงถึงปีละ 6 แสนล้านบาทต่อปี จากเดิมที่เป้าหมายการลงทุน 3 แสนล้านบาท ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะสามารถปรับ GDP ให้โตขึ้น 5% ภายหลังสถานการณ์โควิด และจะเป็นส่วนสำคัญให้ไทยก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาได้ในปี 2572
สำหรับการเสวนาดังกล่าว ภาคเอกชนและนักธุรกิจชั้นนำได้ร่วมแสดงความคิดเห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นต้องร่วมขับเคลื่อนอีอีซีให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ และการลงทุนในอุตสาหกรรมนวัตกรรมขั้นสูง ที่อีอีซีพร้อมดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระยะยาว
ทั้งนี้ การสรุปข้อมูลและการถอดบทเรียนที่ได้รับจากการเสวนาในครั้งนี้ สกพอ. จะได้นำข้อมูล ชุดความรู้ที่ได้รับประกอบการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้/พิพิธภัณฑ์เขตพัฒนาพิเศษชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกประเทศไทย (EEC Learning Center/EEC Museum) และมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งจะเป็นศูนย์การเรียนรู้สำคัญของการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก และพร้อมจะเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักลงทุนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจได้ศึกษาถึงความเป็นมาของอีสเทิร์นซีบอร์ดและการพัฒนาอีอีซี ที่จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาประเทศต่อไป