×

ถอดบทเรียนชีวิต ‘เดิร์ก เคาต์’ ตำนานนักเตะวิ่งสู้ฟัด

16.06.2023
  • LOADING...
เดิร์ก เคาต์

ย้อนกลับไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว มีนักฟุตบอลคนหนึ่งที่สร้างความสับสนให้แก่บรรดานักข่าวสายฟุตบอลทั้งหลาย เพราะไม่รู้ว่าชื่อของเขาควรจะอ่านออกเสียงอย่างไรกันแน่

 

เดียร์ก ไคท์, เดิร์ก คุยต์, เดิร์ก คอยต์ ก็ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี ซึ่งเรื่องนี้ถึงขั้นว่าในฟอรัมฟุตบอล (เว็บบอร์ดในสมัยนั้น) แฟนบอลต่างประเทศก็มีการถกเถียงหาคำตอบกันสนุกสนาน หลายคนเป็นชาวดัตช์ก็ยังถกกันอย่างสนุกสนาน

 

แต่ที่แน่ๆ คือนักฟุตบอลคนนี้มีดีกรีเป็นระดับ ‘ดาวซัลโว’ ของฟุตบอลเอเรดิวิซีหรือลีกฟุตบอลสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ ที่ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลในปี 2006 ด้วยความคาดหวังสูงลิบว่าจะเป็นหัวหอกจอมถล่มประตูคนใหม่ในทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ

 

ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เพราะผู้จัดการทีมชาวสเปนจัดการโยกตำแหน่งใหม่ให้ไปยืนกึ่งปีกขวาแทน แต่กองหน้ารายนี้ก็เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ชาวเดอะ ค็อป รักและชื่นชมมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของความมานะพยายาม

 

เรียกว่าเป็นนักเตะวิ่งสู้ฟัดของจริง (ส่วนเมืองนอกเขาเรียก Mr.Duracell เพราะอึดเหมือนกระต่ายใส่ถ่าน!)

 

ที่แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่เมื่อรู้ว่า เดิร์ก เคาต์ เดินทางมาประเทศไทย ก็ยังมีแฟนฟุตบอลจำนวนมากที่เดินทางมาเพื่อพบและรับฟังเรื่องราวดีๆ ที่มีทั้งมุมสนุก และมุมที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

 

และเหตุผลอย่างหลังนี่เองที่รู้สึกในระหว่างที่นั่งรับฟังว่าอยากถอดบทเรียนมาฝากชาว THE STANDARD กัน

 

ขอบคุณภาพจาก: I AM Legend

 

1. ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ

 

หนึ่งในคำถามที่ เดิร์ก เคาต์ ชอบใจและใช้เวลาในการตอบแฟนๆ ที่ขอยกมือถามตำนานนักเตะขวัญใจมากเป็นพิเศษ คือคำถามในเรื่องของการปรับตัวเข้ากับชีวิตในประเทศใหม่

 

เรื่องนี้ถึงจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ชีพจรลงเท้าเป็นเรื่องธรรมดา แต่เคาต์ยืนยันว่าการ ‘ย้ายประเทศ’ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย

 

สิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญคือชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ยกตัวอย่างเช่น เขาที่ย้ายจากเนเธอร์แลนด์มาอยู่อังกฤษ ก็ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ชีวิตใหม่ บ้านใหม่ เพื่อนบ้านใหม่ ถนนหนทาง วัฒนธรรม

 

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ยาก ต้องใช้เวลา ขั้นต่ำคือ 6 เดือน สำหรับการปรับตัวเข้าหาชีวิตใหม่ หรืออาจจะถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว

 

สิ่งสำคัญคือต้องพยายามที่จะปรับตัวให้ได้ ซึ่งส่วนตัวเขานอกจากชีวิตส่วนตัวแล้ว ชีวิตการเล่นก็ไม่ง่ายเลย เพราะตอนที่ย้ายมาลิเวอร์พูลช่วง 6 เดือนแรกน้ำหนักลดลงถึง 8 กิโลกรัม เพราะการเล่นในพรีเมียร์ลีกนั้นต่างจากลีกดัตช์มาก ต้องวิ่งเยอะกว่าเดิมมาก จาก 10 กิโลเมตร เป็น 15 กิโลเมตรต่อเกม

 

แต่สุดท้ายเขาก็ปรับตัวได้ ซึ่งหลังจากนั้นจากน้ำหนักที่ลดไป 8 กิโลกรัม ก็ได้กลับมา 15 กิโลกรัม โดยที่ 15 กิโลกรัมนี้เป็นกล้ามเนื้อล้วนๆ!

 

มิน่า…วิ่งเท่าไรก็ไม่หมด!

 

 

2. ก็แค่ลูกจุดโทษอีกลูกหนึ่ง

 

หนึ่งในไฮไลต์ในช่วงที่แฟนๆ จดจำเคาต์ได้คือการรับหน้าที่สังหารจุดโทษในเกมที่พบกับอาร์เซนอลที่เอมิเรตส์ สเตเดียม

 

ในเกมสุดเดือดวันนั้นลิเวอร์พูลสู้กับอาร์เซนอลที่กำลังลุ้นแชมป์ได้อย่างสนุกสูสี แต่มาเสียจุดโทษเอาในช่วงท้ายเกม เมื่อ เจย์ สเปียริง ไปทำฟาวล์ใส่ เชส ฟาเบรกาส และเป็น โรบิน ฟาน เพอร์ซี หัวหอกกัปตันทีมที่รับหน้าที่สังหารจุดโทษเข้าไป

 

แต่ความดราม่ามาเกิดเอาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เมื่อ อังเดร มาร์ริเนอร์ ผู้ตัดสินในเกมนั้นมีการทดเวลาให้ถึง 12 นาที และความพีคมันมาเกิดในนาทีที่ 12 นี้เอง เมื่อลิเวอร์พูลได้ลูกจุดโทษคืนบ้างจาก เอ็มมานูเอล เอบูเอ ไปทำฟาวล์ใส่ ลูคัส เลวา

 

ผู้ที่รับหน้าที่สังหารจุดโทษคือเคาต์ ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ซึ่งคำถามจากทางบ้านก็คือ ‘รู้สึกอย่างไร’

 

ด้วยความคาดหวังว่าเคาต์อาจจะตอบว่าหัวใจเต้นระรัวเลย หรือตื่นเต้นสุดๆ แต่ปรากฏว่ากองหน้าชาวดัตช์บอกว่าไม่มีอะไร สำหรับเขามันก็เป็นแค่การยิงจุดโทษอีกลูกหนึ่งเท่านั้นเอง

 

เพราะตลอดมาเขาซ้อมการยิงจุดโทษแบบนี้มาแล้วเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ซึ่งสิ่งที่ต้องทำในฐานะคนรับหน้าที่สังหารจุดโทษก็คือยิงมันเหมือนตอนซ้อมนั่นแหละ เพราะการซ้อมมานับไม่ถ้วนจะทำให้หัวใจของเราแข็งแกร่งและควบคุมความวิตกได้

 

พูดง่ายๆ คือถ้าเราซ้อมมาดี ก็ขอให้เชื่อใจตัวเองเข้าไว้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น

 

 

3. ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาถึงตรงนี้

 

จุดสูงสุดในชีวิตการเล่นของเคาต์กับลิเวอร์พูลอยู่ที่เกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่ลิเวอร์พูลได้กลับมาพบกับเอซี มิลาน คู่ปรับที่เคยมีรอยแค้นกันในเกมที่อตาเติร์ก ในนัดชิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล’

 

โดยที่เคาต์เป็นคนยิงประตูให้ลิเวอร์พูลได้ด้วยในวันนั้น

 

จริงอยู่ที่เกมที่เอเธนส์นั้นจบลงด้วยความผิดหวัง เพราะลิเวอร์พูลไม่สามารถจะสร้างปาฏิหาริย์ซ้ำสองได้อีก และตัวของเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดาที่อุตส่าห์ได้โอกาสลงเล่นในเกมระดับนี้ แถมยังมีชื่อเป็นผู้ทำประตูจุดความหวังให้ทีมได้ (เขาแอบหวังว่าจะสร้างตำนานได้เหมือนในปี 2005 เหมือนกัน)

 

แต่เมื่อมันจบลงแบบนี้ แทนที่จะจำแต่ความผิดหวัง เคาต์กลับมองว่าการที่ตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว

 

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ลงเล่นในเกมระดับนัดชิงแชมเปียนส์ลีก และต่อให้มันจบลงด้วยความผิดหวัง ก็ยังนับเป็นความสำเร็จอยู่ดี

 

ในความเสียใจก็ยังมีสิ่งที่งดงามอยู่ อยู่ที่เราจะมองหา มองเห็น และยิ้มรับกับมันไหม

 

ขอบคุณภาพจาก: I AM Legend

 

3 เรื่องนี้เป็นข้อคิดที่ได้จากการนั่งฟัง เดิร์ก เคาต์ เล่าเรื่องชีวิตลูกหนังของตัวเองออกมาในบรรยากาศแบบสบายๆ ในโรงภาพยนตร์เซ็นจูรี่ ซึ่งต้องขอบคุณ I AM Legend ผู้จัดงานที่ให้เกียรติ THE STANDARD ได้ไปร่วมงานพิเศษๆ แบบนี้ด้วย

 

ทราบมาว่าในอนาคตอาจจะมีตำนานนักฟุตบอลคนอื่นๆ ที่จะเชิญมาให้แฟนๆ ได้พบปะอย่างใกล้ชิดอีก

 

ได้ยินใครก็ไม่รู้พูดกันว่าชื่อ… แฮ่มๆ อะไรเนี่ย เดี๋ยวรอติดตามกันนะ

 

อ้อ…ส่วนชื่อเจ้าตัวออกเสียงอย่างไรนั้น หลังจากที่เจ้าตัวพูดบนเวทีไปรอบหนึ่งแต่ยังไม่แน่ใจ เมื่อมีโอกาสได้ขึ้นไปทักทายจึงขออนุญาตสอบถามอีกสักที


ได้คำตอบมาแบบนี้

 

‘เดอริก เกาต์’

 

หายคาใจในชีวิตไปเรื่องหนึ่งแล้ว!

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising