ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์ของจักรวาล Marvel และ DC ประสบความสำเร็จในโรงภาพยนตร์อย่างมาก โดยเฉพาะการปล่อยภาพยนตร์ Guardians of the Galaxy Vol. 3 ฝีมือ เจมส์ กันน์ ผู้กำกับมือฉมังที่ได้พิสูจน์ฝีมือจนได้รับการยอมรับ แต่เส้นทางภาพยนตร์ก็ไม่ได้ง่าย แถมยังต้องเผชิญอุปสรรครอบด้าน
CNBC รายงานว่า Marvel ภายใต้การบริหารของ เควิน ไฟจ์ โปรดิวเซอร์มือทองผู้สร้างหนังจักรวาล ที่ยังเน้นการสร้างตัวละครใหม่ให้หลากหลายมากกว่าเดิม ส่วน DC กลับเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ภายในระยะเวลา 10 ปี เพื่อฟื้นฟูทั้งช่องทางทางทีวีและภาพยนตร์ รวมถึงการสร้างจักรวาลให้เหนียวแน่นเหมือนของ Marvel ตลอดจนการสร้างเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร รวมทั้งตัวละครและโครงเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าเพียงเรื่องเดียว
ที่สำคัญ DC เตรียมเปิดตัว Superman: Legacy ตามด้วย Batman ที่มาพร้อมบทใหม่ และ The Authority ในปี 2025
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สู่ความรุ่งโรจน์หรือแผ่วลง? วิเคราะห์ก้าวต่อไปที่ท้าทายของจักรวาลหนัง Marvel เฟส 4 จะยังกุมใจแฟนคลับได้หรือไม่!
- ซีอีโอ Disney หวัง Disney+ ทำกำไรได้ในปีหน้าหากไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเสียก่อน หลังมีฐานลูกค้ารวม 235 ล้านคน แซง Netflix ไปแล้ว
- ‘Disney’ สั่งระงับการจ้างงานใหม่ และอาจปรับลดจำนวนพนักงานลง หลังผลประกอบการบริษัทออกมาย่ำแย่
เรียกได้ว่าเวลาเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ Marvel Studios มักจะมีความได้เปรียบมากกว่า แต่ล่าสุดกลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะหลังจากที่ได้เปิดตัว Guardians of the Galaxy Vol. 3 ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ของจักรวาล Marvel ที่เขียนบทและกำกับโดย เจมส์ กันน์ ได้รับการตอบรับอย่างมาก
โดยคาดว่าจะทำรายได้ช่วงเปิดตัวในสัปดาห์แรกได้กว่า 120-155 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว ซึ่งเท่ากับการเปิดตัว Guardians of the Galaxy: Vol. 2 ในปี 2017 ที่กวาดรายได้ไปทั้งหมด 870 ล้านดอลลาร์ แน่นอนว่าความสำเร็จของ Guardians of the Galaxy Vol. 3 แสดงให้เห็นว่า เจมส์ กันน์ มีศักยภาพมากพอหลังจากที่ได้รับเลือกให้ขึ้นเป็นผู้บริหารจักรวาล DC เมื่อปีที่ผ่านมา
บทพิสูจน์ของ ‘เจมส์ กันน์’ ผู้กำกับมือฉมังของจักรวาล Marvel
หากย้อนไปก่อนหน้านี้ เจมส์ กันน์ ผู้เขียนบทและผู้กำกับนั้นถูกพักงานชั่วคราว หลังจากมีข้อความทวีตล้อเลียนเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ทำให้เขาใช้ช่วงเวลานี้ร่วมมือกับ DC เพื่อเขียนบทและกำกับ The Suicide Squad ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับกลุ่มผู้ต่อต้านฮีโร่ที่ขี้ขลาด จนได้รับการว่าจ้างจาก Disney ให้เขียนบทและกำกับเรื่อง Guardians of the Galaxy Vol. 3 ซึ่งนับเป็นการร่วมทุนครั้งสุดท้ายของเขากับ Marvel Studios
สำหรับผลงานเรื่องแรกของ เจมส์ กันน์ คือภาพยนตร์ Guardians of the Galaxy ที่ปล่อยออกมาในปี 2008 เนื้อหาเกี่ยวกับทีมอาชญากรข้ามกาแล็กซีที่กลายเป็นกลุ่มที่ไม่เข้าขากับฝั่งฮีโร่ และส่วนใหญ่แล้วบทของ เจมส์ กันน์ ก็อัดแน่นไปด้วยความตลก ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ทำรายได้ถึง 770 ล้านดอลลาร์ ในปี 2014
นอกเหนือจากการทำงานที่ Marvel แล้ว เจมส์ กันน์ ยังมีผลงานเขียนบทภาพยนตร์อย่าง Scooby-Doo, Dawn of the Dead และ Tromeo and Juliet ด้วย
ด้าน ชอว์น ร็อบบินส์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ BoxOffice.com กล่าวว่า เจมส์ กันน์ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งใน Marvel และ DC
Infinity War และ Avengers: Endgame สร้างกำแพงไว้สูง
เช่นเดียวกับ Marvel หลังจากที่ปล่อยภาพยนตร์เรื่อง Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ก็สร้างรายได้ถล่มทลาย และได้รับเสียงตอบรับจากฐานแฟนคลับเป็นอย่างมาก
จนทำให้ บ็อบ ไอเกอร์ ซีอีโอของ Disney ตั้งคำถามว่า Marvel ควรใช้ตัวละครตัวเดิมกลับมาสร้างภาพยนตร์เรื่องต่อไปแทนที่จะหาฮีโร่ใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าภาพยนตร์ Ant-Man and the Wasp in Quantumania และ Thor: Love and Thunder ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
ถึงกระนั้นนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็กล่าวว่า การที่ภาพยนตร์ไม่ได้รับการตอบรับนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งแรก หากย้อนไปหลังจากในปี 2012 ที่ Avengers ออกมาฉาย ทำให้หลายคนค่อนข้างผิดหวัง ส่วนภาพยนตร์เรื่อง Thor ทำรายได้ไปเพียง 644 ล้านดอลลาร์ ซึ่งค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภาพยนตร์ของ Marvel เรื่องอื่นๆ ถ้าเทียบกับ Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ที่ได้สร้างมาตรฐานให้กับจักรวาล Marvel อย่างมาก และทุกโปรเจกต์ทุกคนก็คาดหวังให้ทำรายได้ได้ใกล้เคียงกัน
ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวทำให้ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย Marvel และ DC ยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างมาก เพราะทั้งสองจักรวาลกำลังเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวของนักแสดงและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ยังไม่ฟื้นตัว
โดยเฉพาะ โจนาธาน เมเจอร์ส นักแสดงจอมวายร้ายคนใหม่ล่าสุดของ MCU ที่ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดและถูกจับกุมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อาจเป็นเหตุผลให้ Marvel ต้องพิจารณาการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใช้เวลาล่วงหน้านานๆ
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองจักรวาลได้เปิดตัวภาพยนตร์ใหม่ๆ โดยเฉพาะ Marvel สามารถสร้างยอดขายตั๋วภาพยนตร์ทั่วโลกได้ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ จากภาพยนตร์ 31 เรื่อง
ขณะที่ DC ได้เปิดตัวภาพยนตร์ไป 12 เรื่อง ทำรายได้ทะลุถึง 6.4 พันล้านดอลลาร์ กระทั่งในช่วงโควิดระบาด ทั้ง 2 สตูดิโอเริ่มได้รับผลกระทบ จากการที่ต้องเลื่อนฉายภาพยนตร์ ทำให้บริษัทต้องลดค่าใช้จ่ายลงตามไปด้วย
อ้างอิง: