×

คุยกับครอบครัว ‘พูนพิริยะ’ เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นผู้กำกับร้อยล้านและนางเอกรางวัลสุพรรณหงส์

05.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

25 Mins. Read
  • อาเล็ก-สุรพล พูนพิริยะ ในอดีตเคยทำงานในตำแหน่งเซลล์ขายผลิตภัณฑ์ประจำบริษัท คาโอ ประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ชั้นนำอย่างยาสระผมแฟซ่า, น้ำยาซักผ้าขาวไฮเตอร์, ผ้าอนามัยลอรีเอะ ฯลฯ
  • นิตยสารที่เป็นแรงบันดาลใจให้บาส นัฐวุฒิ กลายเป็นเด็กชอบเสพหนังตั้งแต่ช่วง ม.ต้น คือนิตยสาร ดิฉัน คอลัมน์วิจารณ์ภาพยนตร์ในยุค 90 โดยนักวิจารณ์นามปากกาว่า ‘น้ำผึ้ง’ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือคนเดียวกับยิ่งศักดิ์ โควสุรัตน์ นักเขียนชื่อดังเจ้าของนามปากกา ‘อีแร้ง’
  • จูนจูน พัชชา เคยแคสต์บท ‘ลิน’ ตัวละครสำคัญของภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง ด้วย ซึ่งในวันแคสต์ จูนจูนถึงกับใส่ชุดนักเรียนจริงจังเลยทีเดียว
  • ‘เฮียบอล’ นัฐพล พูนพิริยะ พี่ชายคนโตที่บาสและจูนจูนพูดถึงบ่อยๆ คือคนที่ออกแบบกราฟิกโฆษณาตรงป้ายรถเมล์พร้อมสโลแกน ‘อนาคตแห่งการซักผ้า’ ให้กับหนัง ฉลาดเกมส์โกง

     ถ้าใครชอบดูหนังที่มีพล็อตหรือฉากหลังเกี่ยวกับคนในครอบครัวอย่าง About Time, The Royal Tenenbaums, Always: Sunset on Third Street, Like Father, Like Son หรือแม้แต่ครอบครัว The Simpsons เชื่อเถอะว่าคุณก็น่าจะชอบเรื่องราวของครอบครัวนี้แน่ๆ เพราะ THE STANDARD มองว่าครอบครัว ‘พูนพิริยะ’ มีคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะแง่งดงามที่ต่างคนต่างยืนยันว่า ‘คนในครอบครัว’ ล้วนมีอิทธิพลต่อการเติบโตและค้นพบทิศทางของชีวิต ทั้งความคิด ความเชื่อ หรือแม้แต่รสนิยม

     เล่ามาถึงตอนนี้ เผื่อใครอาจจะยังงงว่าครอบครัว ‘พูนพิริยะ’ คือใคร

 

 

     บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ คือผู้กำกับที่เพิ่งส่ง ฉลาดเกมส์โกง เป็นหนังร้อยล้านเรื่องล่าสุดของประเทศ นอกจากเรียกคำชมไปได้เยอะ ล่าสุดดูเหมือนว่าหนังของเขากำลังไปได้ไกลในตลาดต่างประเทศ  

     จูนจูน-พัชชา พูนพิริยะ น้องสาวคนสุดท้องของบ้าน เธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทนำในหนังนอกกระแสที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นกระแสอย่าง Mary Is Happy, Mary Is Happy (ความเซอร์คือเล่นหนังเรื่องแรก จูนจูนก็ก้าวขึ้นไปรับรางวัลสุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม พ.ศ. 2556 ถ่ายรูปคู่กับณเดชน์ คูกิมิยะ ที่ได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก คู่กรรม  ล่าสุดเธอเป็นดีเจอยู่ที่ Cat Radio และเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ)

     เล่าถึงลูกๆ ไปแล้ว จะขาดตัวละครสำคัญไปไม่ได้ สำหรับวงการบันเทิง อาเล็ก-สุรพล พูนพิริยะ คือนักแสดงภาคสมทบที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา ทั้งจากงานโฆษณา ละคร และล่าสุดเขามีผลงานในหนังนอกกระแสอย่าง Motel Mist โรงแรมต่างดาว แต่สำหรับครอบครัวพูนพิริยะ นอกจากเขาจะเป็นผู้ให้กำเนิด ลูกๆ น่าจะอยากให้เครดิตประมาณนักปั้น ไลฟ์โค้ช หรือเมนเทอร์แถมท้ายไปด้วย 

     ถ้าเชื่อตามตำราที่ชอบบอกกันว่าสถาบันครอบครัวคือเบ้าหลอมแรกและเป็นรากแก้วของชีวิต ครอบครัวพูนพิริยะก็น่าจะมีรากแก้วที่ดี (แถมยังคาแรกเตอร์จัดไม่แพ้ ‘คุณพ่อ’ ตามหนังสไตล์แฟมิลีเรื่องไหนๆ) ซึ่งรากแก้วที่ดีก็ไม่น่าจะหมายความว่าต้องเกิดมาในครอบครัวร่ำรวย มีบ้านหลังใหญ่ หรือมีนามสกุลดัง แต่อาจจะหมายถึง ‘รูปแบบการเลี้ยงดู’ ที่ถือเป็นต้นทุนทางชีวิตที่ยิ่งใหญ่สำหรับลูกๆ

     ตกลงคุณพ่อบ้านนี้เลี้ยงลูก 4 คนมายังไง ทำไมลูกชายถึงถูกชมเหลือเกินว่าทำหนังฉลาด แถมลูกสาวเองก็เป็นที่ชื่นชอบและสนอกสนใจ… อย่ามัวคิดเองเออเอง มีอยู่ทางเดียวคือชวนครอบครัวนี้มานั่งคุยไปพร้อมกัน

 

 

คิดว่าครอบครัว ‘พูนพิริยะ’ เหมือนหรือแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆ อย่างไรบ้าง  

     พ่อ: ไม่ต่างเลยครับ ผมกล้าพูดว่าครอบครัวพูนพิริยะใช้ชีวิตติดดินเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่ด้วยงานของเรา ผมกับลูกอาจจะพอมีคนรู้จักบ้าง อย่างในเฟซบุ๊กถ้ามีคนเข้ามา add friend เพราะอาจจะรู้จักว่าเราเป็นคุณพ่อน้องจูนจูน เป็นพ่อคุณบาส หรือเวลาเดินทางไปไหน ถ้ามีคนจำได้แล้วเดินมาขอถ่ายรูปด้วย ผมกอดคอเลยนะ เพราะถือว่าเขาให้เกียรติ ที่เหลือคือใช้ชีวิตปกติ ทุกวันนี้ผมก็กินข้าวแกงเหมือนเดิม

     บาส: เรื่องนี้ผมคอนเฟิร์ม เพราะทั้งป๊าและแม่จะสอนเรื่องการถ่อมตัวมาตั้งแต่เด็ก ความแตกต่างอาจจะเป็นเรื่องของวิธีคิดที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เช่น ป๊ากับแม่สอนไอเดียบางอย่างมาให้กับเฮียบอล (นัฐพล พูนพิริยะ – ลูกชายคนโต) แล้วเฮียบอลก็ส่งต่อไอเดียนั้นมาให้ผม ไล่ตั้งแต่วิธีการใช้ชีวิต รสนิยมในการเสพสิ่งต่างๆ จากนั้นผมก็ส่งต่อไปให้จ๊ะจ๋า (แพรว พูนพิริยะ – ลูกสาวคนที่สาม) และเขาก็ส่งต่อไปให้จูนจูน ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของครอบครัวอีกที  

     ผมคิดว่าพวกเราพี่น้องโชคดีนะที่มีพ่อแม่ที่ค่อนข้างเข้าใจและไม่ได้เข้มงวดให้เราต้องโฟกัสกับการเรียนเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะเข้าใจว่าวัยรุ่นคือวัยรุ่น วัยรุ่นมีสิ่งที่อยากค้นหาในมุมอื่นๆ นอกเหนือจากการเรียน ไม่ใช่ว่าต้องเรียนให้ได้เกรด 4 เท่านั้น  

     แต่มีช่วงที่ผมขยับจาก ม.1 ขึ้น ม.2 ซึ่งตอนนั้นการดูหนังเริ่มเป็นแพสชันมากๆ ผมดูหนังวันละ 3 เรื่องจนสุดท้ายผลการเรียนตกมาก จากเกรดเฉลี่ยที่เคยทำได้สามกว่าเหลือแค่สองกว่า คนในครอบครัวช็อกมาก ป๊าก็เลยพูดออกมาว่า ถ้าเทอมหน้าเกรดยังไม่ขึ้นจะเอาวิดีโอไปเผาทิ้งให้หมดเลย ตอนนั้นเขาพูดเหมือนจะซีเรียสนะครับ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ซีเรียส เพราะพอเลิกเรียนกลับมาบ้าน ป๊าก็ยังซื้อวิดีโอมาเซอร์ไพรส์ผมอยู่ดี

     พ่อ: เราดุเพราะแค่อยากทำให้เขารู้ตัว… หลายคนอาจจะเคยเห็นว่าบางครอบครัวกดดันลูกมากเลย ยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นครูก็ยิ่งกดดัน เพราะถ้าแกเรียนไม่ดี ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บางครอบครัวไปกดดันตอนเอ็นทรานซ์ว่าถ้าแกเข้าจุฬาฯ ไม่ได้ แกไม่ใช่ลูกฉัน แต่ผมไม่เลย ลูกอยากจะเรียนอะไร สนใจเรื่องอะไร ขอให้มาบอก ผมพูดแม้กระทั่งว่า ไม่ต้องซีเรียสนะลูก อยากเรียนที่ไหนให้ไปลองดู สอบได้ก็คือได้ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมเป็นคนมีความเชื่อเรื่อง ‘เบื้องบนลิขิต’ ชีวิตคนเราจะเดินไปทางไหน มันไม่ใช่แค่คิดแต่จะเอาให้ได้ เรื่องบางเรื่องมันอยู่ที่วาสนา เบื้องบนเขากำหนดมาแล้วว่าอยากให้เป็นแบบนี้ เราก็ต้องมาทางนี้นี่แหละ

     จูนจูน: จูนคิดคล้ายกับที่เฮียบาสบอกนะ คือไม่รู้ว่าครอบครัวเราต่างจากครอบครัวอื่นหรือเปล่า แต่คิดว่าต่างจากครอบครัวของเพื่อนรอบตัวจูนแล้วกัน เพราะป๊ากับแม่ไม่เคยกดดันอะไรเลย ทั้งสองคนคิดแค่ว่าตราบใดที่รู้ว่าลูกทำอะไรอยู่แล้วเป็นคนดี แค่นั้นคือจบ เรื่องเรียนไม่ต้องไปเครียด เพราะถ้าจูนเป็นคนดี ยังไงก็ต้องได้ดี

     บาส: ใช่ เป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นคนดี

     พ่อ: ที่สอนลูกอย่างนี้เพราะผมคิดว่าตัวเราก็ไม่ใช่คนฉลาด เราไม่ใช่คนเก่ง แล้วเราจะไปคาดหวังอะไรกับลูกนักวะ สำคัญคือสอนให้เขารู้จักรับผิดชอบตัวเอง อย่าไปสร้างภาระให้สังคม ในหนึ่งครอบครัว ถ้าเราดูแลคนของตัวเองโดยการไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน แค่นี้จบเลย

     จูนจูน: ซึ่งจูนคิดว่าตรงจุดนี้ทำให้ลูกของป๊าและแม่ทุกคนมีความกล้าที่จะไปในทางที่เชื่อว่ามันจะเวิร์กกับตัวเอง ถ้าเขาสนใจอะไร เขาจะไปตรงจุดนั้นจริงๆ โดยที่ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าต้องเรียนให้ดีหรือต้องประสบความสำเร็จที่สุด ทุกคนเลือกทางเดินของตัวเองชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังมีกรอบในเรื่องการทำดีอยู่ ซึ่งจูนว่ามันดีมากๆ เลย (หันไปมองหน้าพ่อ) แหม ภูมิใจใช่ไหม (หัวเราะ)

     พ่อ: ลูกพูดดี (หัวเราะ)  

 

 

คนที่ไม่กดดันเรื่องเรียนกับลูกนี่เคยดุลูกบ้างหรือเปล่าครับ

     บาส: กับลูกชายนี่ดุนะครับ

     พ่อ: ความจริงผมเป็นคนดุถ้าเห็นว่าลูกทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนะ ตอนลูกยังเล็กๆ พวกเขาจะรู้ว่าถ้าผมดุแล้วผมเอาจริง หมายถึงผมมีสิทธิลงไม้ลงมือ ผมเลี้ยงแบบตีลูกนะ

     จูนจูน: ใช่ ป๊าเคยใช้ไม้แขวนเสื้อตีจูนเพราะคุยโทรศัพท์เยอะเกินไป ตอนนั้นใบเสร็จค่าโทรศัพท์ออกมา 20,000 บาท (หัวเราะ)

     พ่อ: ตอนนั้นเขาพลาด เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เราต้องให้ความรู้ว่าเงินเหล่านี้คือหยาดเหงื่อของป๊านะ ยุคหนึ่งเขาเคยติดโทรศัพท์ และติดคุยกับเพื่อนคนนี้มาก คิดดูสิ เห็นมดตัวนึง เฮ้ย แกดูสิ มันกำลังขนเศษขนมกลับบ้าน

     จูนจูน: (หัวเราะ) ก็ตอนนั้นมันเด็กนี่  

     พ่อ: เขายังไม่เข้าใจไง เขาอยากจะคุยกับเพื่อนตลอดเวลา เมื่อก่อนเลยใช้โทรศัพท์บ้านโทรเข้าเครื่องเพื่อน พอเห็นค่าโทรศัพท์เดือนนั้นออกมา 6,000 กว่าบาท ผมตกใจเลย ตอนแรกกะจะไปเล่นงานองค์การโทรศัพท์ มึงคิดผิดแล้ว กูเล่นมึงแน่! ถามไปถามมาถึงได้รู้ว่าลูกสาวเราเป็นคนกดใช้ เช็กเบอร์จากบิลที่ส่งมาเลยว่านี่เบอร์ใคร อ๋อ เบอร์เพื่อนสนิทเขา แล้วไม่ใช่แค่เดือนนั้น คือบิลค่าโทรศัพท์มันมาทีละเดือนไง สรุปว่าพอเอาออกมานับแล้วยอดรวมทั้งหมดมัน 20,000 กว่าบาท โอ้โห เลือดคนแก่ซิบๆ เลย

     จูนจูน: วันนั้นเลือดจูนก็ซิบเลยเหมือนกัน (หัวเราะ)

     พ่อ: โดยพื้นเพแล้วผมเป็นคนประหยัด แต่บางเรื่องที่ควรต้องจ่าย ผมยอมจ่ายนะครับ เช่น ถ้าลูกป่วย ผมกล้าเสีย เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะป่วย หรือยกอีกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเดินห้างสรรพสินค้าด้วยกันสี่คนพี่น้อง สมมติว่าบาสเกิดอยากได้วิดีโอสักเรื่อง คุณแม่ (ธนัญญา พูนพิริยะ) เขาจะออกแอ็คชันประเภทว่า ถ้าเป็นนักแสดงก็ต้องเรียกว่าเล่นใหญ่ เขาทำตาโตเลยนะ บอกเสียงดุเลยว่า “อะไร! ซื้ออีกแล้วเหรอ” แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ซื้อให้นะ คือภรรยาผมเองเขาก็ชอบดูหนัง แล้วผมกับเขาก็รักลูก ฉะนั้นเราจะมีความสุขมากที่เห็นลูกทำอะไรแล้วมีความสุข พ่อคนอื่นเป็นยังไงผมไม่รู้นะ แต่ผมประหยัดความสุขส่วนของตัวเองเพื่อลูกได้   

     อย่างช่วงที่เขาดูหนังบ่อยๆ เงินเดือนผม 6,000 กว่าบาทเองนะ ม้วนวิดีโอหนังร้านแมงป่องราคา 380 บาท ซึ่งสมัยก่อนถือว่าราคาสูงใช้ได้เลย แต่พอซื้อให้ปุ๊บ เรารู้ว่าเขากำลังมีความสุข พอขับรถกลับถึงบ้าน ดับเครื่องยนต์ เดินเข้าบ้าน สักพักเขาเปิดขวดโค้กมาตั้งพร้อมกับห่อขนม แล้วพอเปิดหนัง ใครอย่าได้ไปยุ่งกับเขาเลยนะ (หัวเราะ) …คือเขาไม่รู้ตัวหรอก แต่ผมมองอยู่ตลอด แล้วกล้าพูดเลยว่าตัวเองมีความสุข ถ้าผมไม่ออกไปเสียเงินกับเรื่องข้างนอกแล้วเอาเงินมาทำให้ลูกมีความสุขได้ ผมก็จะมีความสุขมาก

     บาส: มีวันนี้เพราะพ่อให้ครับ (หัวเราะ) คิดดูว่าตอนผมอายุสิบกว่าขวบที่กำลังชอบดูหนัง แล้วเราก็รู้ว่าวิดีโอม้วนนึงมันแพงกว่าดีวีดียุคนี้อีก แต่ถ้าอยากดูเรื่องไหน ป๊าหามาให้ได้ทุกเรื่อง อย่างผมอยากดู The Godfather อยู่ดีๆ วันนึงกลับมาบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เดินออกมาจะนั่งกินข้าวแล้วเห็นวิดีโอ The Godfather วางอยู่เป็นเซอร์ไพรส์ สำหรับผม โมเมนต์นั้นแม่งยิ่งใหญ่มากเลยนะ แล้วพอได้มาก็นั่งดูจนเทปยานยืด ต้องไปแช่ตู้เย็นแล้วเอามาดูอีกรอบ วิดีโอที่ป๊าเคยซื้อให้ทุกวันนี้มันก็เลยต้องเก็บไว้

     แล้วพอมองย้อนกลับไป ความจริงเหมือนป๊าผ่อนจ่ายค่าเทอมโรงเรียนหนังให้ผมตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะ เพราะถ้าผมไม่ได้มีพ่อแม่ที่คอยซัพพอร์ต ซื้อหนังให้ดู ค่อยๆ สะสมสิ่งที่ตัวเองสนใจมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเกิดไปค้นพบแพสชันตอนโต สุดท้ายแล้วผมอาจจะต้องไปลงเรียน Film School ค่าเทอมแพงๆ ทีหลังก็ได้

 

ในยุคนั้นร้านเช่าวิดีโอมีเยอะมาก ซื้ออย่างเดียวเลยเหรอ ไม่เช่าดูบ้างเหรอครับ

     พ่อ: โอ้โห พูดมานี่ดีเลย ผมเคยถามว่าทำไมไม่เช่าเอาล่ะลูก เจ้านี่บอกว่า “ป๊า หนังเรื่องนี้มันดี หนังมันมีคุณค่า” เราฟังแล้วก็แบบ… มันต้องอย่างนั้นเลยเหรอวะ (หัวเราะ) ความจริงที่เช่าดูก็มีนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่เขาดูแล้วไม่ค่อยอะไรมาก อีกอย่างที่ผมตามใจให้เขาดูหนังเนี่ย ผมก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งมันจะโตขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนังด้วยนะ ผมคิดแค่อย่างเดียวว่าการดูหนังไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ดูหนังแล้วมึงมีความสุข มึงชอบอะไรก็ทำไปเถอะ ยกเว้นขอเงินไปซื้อยาเสพติด

 

 

พ่อลูกนั่งดูหนังด้วยกันบ่อยไหมครับ

     บาส: โอ๊ย บ่อย อย่างเรื่อง Basic Instinct ผมนั่งดูอยู่กับเขานี่แหละ ตอนนั้นรู้สึกว่าจะสิบกว่าขวบ

     พ่อ: หรืออย่างเรื่อง Trainspotting ผมก็นั่งดูกับเขา

     บาส: Trainspotting นี่ป๊าเกลียดมาก (หัวเราะ) แต่เราก็นั่งดูอยู่ด้วยกันนะ

 

รู้สึกว่าคุณจะมีความทรงจำวัยเด็กที่ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นในการชอบดูหนัง ช่วงนั้นไม่ปรึกษาพ่อบ้างเหรอว่าควรทำยังไงกับชีวิตดี

     บาส: มันคือช่วงเดียวกันเลยครับ ช่วงหนึ่งของชีวิตวัยเด็ก ผมเคยเป็นเด็กอ้วนที่โดนแกล้งตลอดเวลา ต้องเล่าย้อนไปอีกหน่อยว่าก่อนหน้านั้นผมสอบเข้าโรงเรียนที่หมายตาไว้ไม่ได้ พอสอบไม่ติดผมก็เลยต้องไปเรียน ม.1 ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กเกเร ซึ่งแม่งเป็น dark age ของผมเลย ผมเรียนอยู่ ม.1 แต่เด็กในห้องแม่งสูบบุหรี่กันในห้องเรียนเลย ในตอนนั้นผมเป็นหนึ่งในแก๊งเด็กอ้วน 3 คนที่คบกันเอง นั่งๆ อยู่ก็จะโดนเด็กเลวๆ เดินมาตบหัว แล้วพอทำอะไรมันไม่ได้ สุดท้ายทุกพักกลางวันผมเลยต้องหนีเข้าห้องสมุดไปหาหนังสืออ่าน หยิบอ่านไปเรื่อยๆ สักพักมาหันมาอ่านนิตยสาร อ่านบทวิจารณ์หนัง พอเขาเขียนบอกว่าหนังเรื่องนี้ดี เราก็เลยไปตามหาหนังมาดู นั่นทำให้ช่วง ม.1 เราเข้มข้นกับการดูหนังมากๆ สุดท้ายแล้วทุกอย่างในตอนนั้นมันหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้เลยนะ

 

 

เลี้ยงลูกผู้ชายด้วยการตามใจให้ดูหนังฟังเพลง แล้วลูกสาวคนเล็กล่ะครับ ดูแลกันมายังไง

     พ่อ: จูนจูนเขาได้พี่คอยช่วยดูแลอีกที เพราะตอนนั้นพี่ๆ เขาโตแล้ว เขาก็เลยได้รับการอบรม ความเชื่อ ความชอบมาจากพวกพี่ๆ      

     จูนจูน: ใช่ค่ะ จูนเหมือนเป็นลูกหลง เกิดมาตอนที่พี่ๆ ทุกคนโตแบบมีวุฒิภาวะกันหมดแล้ว นั่นทำให้ช่วงที่จูนอยู่ในวัยของการเรียนรู้ จูนรู้สึกเหมือนตัวเองมีพ่อแม่อยู่เยอะมาก เพราะพี่ทั้ง 3 คนมาลงใส่จูนอยู่คนเดียว (หัวเราะ) แล้วพี่ทุกคนก็พร้อมจะหยิบยื่นสื่อที่เขามีอยู่ในมือให้หลายทางมาก เฮียบาสก็ให้ดูหนัง เฮียบอลก็ให้ฟังเพลง ให้เล่นคอมฯ สอนให้ใช้โปรแกรม Photoshop, Illustrator ตั้งแต่จูนยังเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องดีไซน์อะไรเลย ส่วนจ๊ะจ๋าเอง ด้วยความเป็นพี่สาว เราก็จะสนิทกัน จูนเลยรู้สึกเหมือนตัวเองโตมาโดยรายล้อมไปด้วยสิ่งดีๆ แล้วพวกเขายังเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำอะไรจนสุดทาง

     จูนเลยคิดว่าตัวเองรู้อะไรหลายอย่างเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน เช่น ฟังเพลงฝรั่ง รู้จักวง Blur ตั้งแต่ ป.2 จูนจะภูมิใจมากเวลาไปโรงเรียนแล้วถามเพื่อนว่ารู้จักวงนี้หรือเปล่า ดีใจที่จะได้นำเสนออะไรใหม่ๆ ให้เพื่อน เหมือนฉันพยายามจะเป็นฮิปสเตอร์ตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ)

 

การเป็นครอบครัวที่มีลูกถึง 4 คน แถมคนสุดท้องยังห่างกับพี่ๆ เยอะมาก มีปัญหาเรื่องวิธีการสอนหรือวิธีการดูแลบ้างไหม

     พ่อ: ผมสอนลูกทุกคนตำราเดียวกันหมด ส่วนจะนำไปใช้ยังไงก็อยู่ที่เขา ที่เน้นหนักๆ เลยคือวิธีคิดที่บอกเมื่อตอนต้นว่า ชีวิตคนเราไม่ได้เป็นคนกำหนดทุกอย่าง และอีกเรื่องคือความประหยัด ผมเชื่อว่าคนเราเนี่ย ‘ถ้าหาเก่งผมไม่กลัว ผมกลัวคนเก็บเก่ง’ คนจีนเขาไม่ถามลูกหลานนะว่าลื้อทำงานได้เงินเดือนเท่าไร แต่เขาจะถามว่าเดือนนี้ลื้อเหลือเงินเท่าไร เงินเดือนเท่าไรมันเป็นแค่ตัวเลขตั้งต้น แต่เหลือเท่าไรนี่สิคือของจริง

 

สอนลูกเรื่องการใช้เงินนี่ต้องเช็กรายรับ-รายจ่ายด้วยไหมครับ

     พ่อ: ไม่หรอกครับ

     จูนจูน: แต่ป๊าเช็กจูนนะ (ทำหน้างอน)

     พ่อ: คืออย่างนี้ครับ ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็ก ซึ่งสมุดบัญชีที่ผมคอยดูให้ปกติจะมีแต่เงินเข้าอย่างเดียว ไม่ค่อยมีออก เพราะฉะนั้นเงินในนั้นจะโตเร็ว

     จูนจูน: แต่ล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจูนเพิ่งปลดแอกออกมาได้ค่ะ พูดแล้วก็อาย ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เรียนอนุบาลจนกระทั่งปี 3 ปลายๆ จูนได้เงินจากป๊าเป็นรายวัน ไม่เคยได้เงินเดือนเหมือนเพื่อน วิธีการของป๊าคือเขาไม่ได้ให้เราใช้วันละ 100 หรือ 200 บาทนะคะ แต่เขายื่นกระเป๋าสตางค์ให้เลย แล้วจะใช้เท่าไรให้หยิบไป แต่ประเด็นคือการได้เงินใช้ระบบนี้ทำให้จูนไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดการเงินตัวเองแบบเพื่อนเลย เช่น เฮ้ย ปลายเดือนนี้ฉันมีปัญหาว่ะ เพราะต้นเดือนใช้เงินเยอะ เดือนหน้าต้องวางแผนใหม่… จนเพิ่งมาระยะหลังนี่เองที่จูนบอกป๊าว่า แบบนี้ไม่ได้แล้ว จูนจะเรียนจบ จะทำงานแล้ว จูนขอเอาบัญชีทุกอย่างมาดูแลเอง ซึ่งเขาก็ใจสลายมากๆ (หัวเราะ) เพราะเขากลัวว่าเราจะจัดการมันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันจูนก็เข้าใจป๊านะ คือจูนเป็นลูกคนสุดท้อง แล้วเขายังแฮปปี้กับการเป็นพ่ออยู่ เขายังรู้สึกดีที่ได้ดูแลเรา

     บาส: ความจริงป๊าไม่ต้องห่วงนะ เพราะในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ไอ้จูนเนี่ยงกมากเลย

     จูนจูน: (หัวเราะ) จริงเหรอ

 

 

น้องคนเล็กของบ้านถูกดูแลเป็นพิเศษขนาดไหนครับ เคยเห็นเวลาทำงาน คุณพ่อมักจะตามไปถ่ายรูปลูกสาวอยู่บ่อยๆ

     พ่อ: ความจริงที่ถ่ายรูปผมมีเหตุผล เพราะแม่เขาสั่งว่าถ่ายรูปมาให้ดูด้วย เราก็ต้องถ่ายแล้วส่งเข้าไลน์ไปให้เขาดูว่าลูกเป็นยังไงบ้าง ทำงานแล้วมีคนมาดูเยอะไหม จริงๆ แล้วแม่เขาภูมิใจในตัวลูกสาว ลูกสาวทำอะไรแล้วออกมาดี มีคนมาชื่นชม เขาก็แฮปปี้หมด

     บาส: ผมเองก็ภูมิใจในตัวน้องสาวนะครับ ภูมิใจในความเก่งที่เขาทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน สไตล์ รสนิยมต่างๆ ผมจะบอกกับพี่น้องทุกคนตลอดว่า เฮ้ย นี่เรา create monster ขึ้นมาในบ้านเลยนะเว้ย เพราะจูนเขามีส่วนผสมของเราทุกคน และสุดท้ายมันกลายเป็นตัวเขาเองซึ่งสามารถทำงานได้หลากหลายแขนง

     จูนจูน: ความจริงจูนกดดันนะ เพราะจูนรู้สึกว่าพี่ๆ ทุกคนเก่งมาก พวกเขาอยู่ในเฟสของชีวิตที่เริ่ม settle แล้วว่าตัวเองอยากจะทำอะไร ซึ่งทุกคนก็เก่งในด้านที่ตัวเองทำ แต่กับตัวเอง จูนกำลังอยู่ในช่วงที่ถ้าอยากทำอะไร มันมีทางให้ไปได้หลายสายมาก โอกาสรอบตัวจูนมีให้เลือกหยิบเยอะมากจนไม่มั่นใจว่าเราควรจะไปทางไหนเพื่อให้ได้ดีเท่ากับที่พวกพี่ๆ เขาตั้งใจเลี้ยงดูเรามา

 

ตกลงคุณเป็นลูกสาวและน้องสาวคนเล็กที่ถูกสปอยล์เกินไปหรือเปล่า

     จูนจูน: มาก ทุกคนบอกว่าจูนเป็นเด็กสปอยล์จนรู้สึกว่า “เออ เป็นก็ได้” (หัวเราะ) จูนสามารถพูดได้ว่าตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจ เพียงแต่ไม่ได้เอาแต่ใจกับทุกคนโดยไม่รู้กาลเทศะ คือเราเลือกใช้โหมดนี้ถูกที่ถูกเวลา เช่น ถ้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอาแต่ใจไม่ได้ จูนก็จะไม่เอาแต่ใจ แต่ถ้าอยู่กับคนที่บ้านเมื่อไร จูนก็จะทำตัวเป็นน้องคนสุดท้องที่งอแงๆ หน่อย

     บาส: แต่หลังๆ กับครอบครัวดีขึ้นนะ เพราะเขาเอาไปใช้กับแฟนแทน

     พ่อ: เฮ้ย ในวงการเขาให้บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท

 

จูนจูนมักจะบอกว่าตัวเองมีประสบการณ์ด้านความรักน้อยมาก เกี่ยวไหมว่าเพราะพ่อกับพี่ทั้งสปอยล์ด้วย และคอยสกัดหนุ่มๆ ทางอ้อมด้วยเหมือนกัน

     พ่อ: เรื่องนี้ผมจะไม่ปล่อยเขาจนเสียเด็ก ต้องอยู่ในสายตา ต้องรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ คือการสปอยล์เด็กรุ่นใหม่เนี่ย บางครั้งเพราะว่าพ่อแม่ไม่ดูแล แต่ผมเป็นพ่อที่อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ คอยโทรถาม ไลน์ไปทักตลอดว่าเขาโอเคหรือเปล่า นั่นเพราะมันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดูแลจนกว่าคุณจะแต่งงานออกไปมีครอบครัวของตัวเอง เพราะเมื่อถึงตอนนั้นฉันก็ไม่เกี่ยวแล้ว

     บาส: แต่กับจูนเนี่ย ผมว่าทุกคนห่วงนะ โดยเฉพาะเรื่องแฟน ผม เฮียบอล และจ๊ะจ๋า เราจะมีกรุ๊ปไลน์ 3 คนไว้เมาท์มอยเรื่องแฟนของเขา หรือเวลาเขามีคนคุยด้วยใหม่ “แกๆ คนนี้ๆ” เราจะส่งรูปให้กันดู

     จูนจูน: โอ้โห แรง (หัวเราะ)

     บาส: ผมห่วง แต่ไม่หวง เคยคิดว่าตัวเองจะหวงนะ ตอนที่จูนเด็กๆ แต่พอโตขึ้นมา เรารู้สึกว่าเขาดูแลตัวเองได้ เขาฉลาด เขารู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ผมเลยคลายใจได้ประมาณหนึ่ง คือเราเข้าใจธรรมชาติของเด็กวัยนี้ไง เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องมีประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์ทั้งความรักหรือรูปแบบอื่นๆ และไม่ว่าเขาจะเจอกับอะไรก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่ามันจะทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นในอนาคต

 

 

มีสัญญาณอะไรไหมที่ทำให้มั่นใจในตัวน้องสาวขนาดนั้น

     บาส: จากสิ่งที่เห็น อย่างตอนที่เขาไปฝึกงานที่นิวยอร์กแล้วผมต้องไปด้วยในช่วงประมาณ 10 วันแรก ตั้งใจว่าจะพาไปรู้จักคน แนะนำที่กิน วิธีการใช้ชีวิต ฯลฯ แต่การไปครั้งนั้นปลดล็อกผมมากเลยนะ เพราะตอนผมไปเรียนยังลำบากเลย แต่ปรากฏว่าเขาเก่งกว่าสมัยที่ผมไปอยู่แรกๆ เป็นสิบเท่า เขาดูแลตัวเองได้ เขาคอนโทรลทุกอย่างรอบตัวได้ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเขาโตแล้วจริงๆ เขาไม่ใช่เด็กที่เราจะต้องมานั่งเป็นห่วงอีกต่อไป

 

อย่างตอนที่น้องสาวเริ่มต้นงานในวงการบันเทิงล่ะ แบบนี้ยิ่งต้องห่วงมากขึ้นเป็นพิเศษด้วยหรือเปล่า

     บาส: มีบ้างนิดหน่อย แต่ผมห่วงในแง่ตัวตน คือเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ได้รับความสนใจ อยู่ดีๆ ก็ได้รางวัล หรือทำอะไรแล้วทุกคนชื่นชอบ ช่วงแรกๆ ที่เขาเริ่มมีคนรู้จัก ผมจะบอกเขาตลอดเวลาว่า จูนจะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องมีความถ่อมตัวนะ อย่าไปหลงกับอะไรพวกนี้มากเกินไป เพราะมายาคือมายา มันไม่มีอยู่จริง มันเป็น 15 minutes of fade ที่วันหนึ่งคนชื่นชมเรา ข้ามไปอีกวันเขาอาจจะไม่ชื่นชมเราแล้วก็ได้ เราต้องระลึกตรงนี้ไว้ตลอดเวลา ผมบอกเขาแค่นั้น ส่วนเรื่องที่ว่าคนจะเข้ามายังไง ผมไม่ค่อยห่วง เพราะผมเชื่อว่าเขาดูแลตัวเองได้

 

มาไกลในวงการบันเทิงกว่าที่คิดไหม

     บาส: ไกล ไกลมาก แต่เขายังไกลได้อีกนะ ผมเชื่อว่าในอนาคตเขาจะแปรรูปไปเป็นคนทำงานในวงการบันเทิงที่ทำได้หลายด้าน

 

ทั้งสามคนมีที่ทางในแวดวงบันเทิงกันคนละแบบ แล้วคุณพ่อล่ะครับ เริ่มต้นงานในวงการบันเทิงมาอย่างไร

     พ่อ: ช่วงนั้นบาสเขาเข้าไปฝึกงานที่บริษัท ฟีโนมีนา จำกัด รู้สึกว่าตอนนั้นกำลังต้องการตัวแสดง เขาก็เลยเรียกให้ผมไปแคสต์ ตอนชวนครั้งแรกผมก็ไม่ไปนะ เพราะคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่สุดท้ายพอไปแล้วโชคดีที่ได้เลย แล้วทำงานวันเดียวได้ตั้ง 4-5 หมื่น ผมเองตอนนั้นยังทำงานอยู่ แต่ละเดือนได้แค่ไม่กี่พัน พอเจอแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน แล้วพอได้เล่นก็ชักรู้สึกว่ามาถูกทางเว้ย กลายเป็นชอบแสดงเหมือนกัน คนจ้างเองพอเขาเห็นว่าเราเล่นได้ เรื่องต่อไปเขาก็โทรมาตามอีก ผมเลยได้งานโฆษณาอยู่เรื่อยๆ ก่อนที่ต่อมาจะได้ทำงานละครและงานภาพยนต ร์อย่างทุกวันนี้

     ส่วนจูนจูนนี่ถือเป็นน้องคนสุดท้องที่เข้าวงการด้วยเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ชอบงานนี้ ผมเคยชวนเขาไปแคสต์งาน เขาบอกว่าไม่ไป จูนจะนั่งวาดรูป

     จูนจูน: เราไม่ชอบให้ตัวเองไปอยู่ในสายตาคนอื่น ไม่ชอบออกไปเป็นศูนย์กลางความสนใจเพื่อให้เขามาคอมเมนต์หรือมาตัดสิน ขออยู่ในที่ของเราดีกว่า ส่วนป๊านี่เขาจะเชียร์เหลือเกิน

     พ่อ: จนกระทั่งวันดีคืนดี คุณเต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เขาชวนไปทำไพล็อตหนังเรื่อง Mary Is Happy, Mary Is Happy แล้วพอได้เล่นหนัง เขาก็ค่อยๆ ก้าวต่อในแบบของตัวเองไปทีละสเต็ป

 

 

จากที่เคยหนีมาตลอด พอได้เล่นหนังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง แถมเล่นแล้วก็ได้รางวัลเลยอีกต่างหาก (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ พ.ศ. 2556 จาก Mary Is Happy, Mary Is Happy)

     จูนจูน: มันปลดล็อกความสามารถที่เราไม่เคยรู้ว่าเราทำได้ อ๋อ การถ่ายหนังมันเป็นประมาณนี้เนอะ เราก็ทำได้นี่ แต่เราก็ไม่ได้เห็นตัวเองในอนาคตว่าจะต้องเดินทางนี้อยู่ดี

 

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณมองภาพรวมของตัวเองในวงการบันเทิงไว้ยังไง

     จูนจูน: จูนอยากใช้ข้อดีของการเป็นที่รู้จักนะ เพราะรู้สึกว่าพลังตรงนี้มันใช้ทำอะไรได้ต่อ เพียงแต่ต้องปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง แต่ถ้าหมายถึงให้ทำงานในสายนักแสดง เรามองไม่เห็นภาพตัวเองแบบนั้นเลย เราอาจจะยังคงรับงานแบบยิบย่อยไปเรื่อยๆ ในระยะยาวโดยที่ไม่ได้ส่งผลต่อคาแรกเตอร์ของตัวเอง เช่น เล่นมิวสิกวิดีโอ ถ่ายแบบ ฯลฯ แต่คงไม่ใช่สายงานบันเทิงเต็มรูปแบบ หรือไม่แน่เราอาจจะไปทำงานสายอื่นที่ตัวเองคิดว่าทำได้ ทำแล้วรู้สึกชอบ

     บาส: ความจริงผมมองว่าเขาคืออาร์ทิสต์นะ แล้วเขาก็เป็นคุณสมบัติของเด็กยุคนี้ คือมีความ multi-talent ช่องทางที่เขาสนใจและทำได้มันเยอะมาก เขาสามารถค้นหาตัวเองได้เรื่อยๆ

 

ถึงวันนี้คนเป็นพ่อน่าจะรู้สึกดีที่ทั้งลูกชายและลูกสาวมีคนชื่นชอบในผลงานจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกชายที่ล่าสุดกลายเป็นผู้กำกับร้อยล้านไปแล้ว

     พ่อ: ผมบอกจากใจจริงเลยนะว่าผมภูมิใจ ผมรู้สึกว่าวาสนาของผมอาจจะไม่ใช่ตัวเงิน ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ แต่ผมมีลูกดีทั้ง 4 คน ผมกล้าพูดว่าทุกคนเป็นคนมีคุณภาพ ทัศนะของผมถือว่าครอบครัวเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ถ้าหน่วยครอบครัวดี หน่วยสังคมของชาติมันก็จะดีตาม ซึ่งการที่คุณไม่สร้างปัญหาให้ครอบครัว ไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่ ไม่สร้างปัญหาให้สังคม ไม่ว่าจะทำงานในหรือนอกวงการบันเทิง ถ้ามีคุณภาพคือจบ

     บาส: ซึ่งความคิดนี้ก็อยู่ในตัวผมด้วยนะ เพราะระยะหลังเวลาทำงาน ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ แม่งคือเรื่องครอบครัวว่ะ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นงานหนัง งานโฆษณา หรือไวรัล ฯลฯ ผมพบว่ามันจะมีติ่งเรื่องครอบครัวที่ผมอินเป็นพิเศษ

 

 

คอมเมนต์วิธีเลี้ยงลูกไปแล้ว คอมเมนต์เรื่องผลงานคุณพ่อบ้างสิครับ

     บาส: งานแสดงของคุณอเล็กซ์เหรอครับ ดูสิครับ ดูแล้วผมก็อะเมซิงทุกครั้งว่าเขามาไกลได้ขนาดนี้เลยเหรอ จริงๆ เริ่มอะเมซิงบวกกับภูมิใจตั้งแต่ตอนเรียกเขาไปแคสต์ช่วงที่ฝึกงานแล้วนะ หลังจากนั้นสักพักป๊าก็เริ่มมีงานเข้ามามากขึ้น แล้วงานที่เขาได้ก็หลากหลายด้วย อย่างล่าสุดผมไปดูหนังเรื่อง Motel Mist ของพี่คุ่น-ปราบดา หยุ่น ดูแล้วก็รู้สึกว่า โอ้โห นี่พ่อเราจริงเหรอ นั่นทำให้คิดเลยว่าป๊าสามารถปลดล็อกด้านการแสดงของตัวเองไปได้เรื่อยๆ ซึ่งผมดีใจ เพราะที่ผ่านมา พ่อผมเขาใช้ชีวิตเพื่อลูก เพื่อครอบครัว เป็นแฟมิลีแมน เป็นซาลารีแมนมาตลอด แต่ถึงจุดหนึ่งเขากลายเป็นคนที่ทำอะไรแบบนี้ได้ สำหรับผมมันเลยเป็นอะไรที่อะเมซิงมาก

     จูนจูน: ลึกๆ แล้วจูนแอบรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นแพสชันของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

 

เท่าที่ติดตาม คาแรกเตอร์คุณพ่อดูเป็นคนอารมณ์ดีนะ ตกลงคุณพ่อเป็นคนตลกหรือเปล่า

     จูนจูน: ตลก จูนว่าตอนป๊าวัยรุ่นคงเป็นแบบเฮียบาสเลย คือเป็นคนชอบเล่นมุก โน่นนั่นนี่  

     บาส: ซึ่งเล่นแล้วก็ไม่ตลกนะ

     จูนจูน: แต่ก็จะพยายามไง (หัวเราะ) เหมือนเขาคิดมุกอะไรได้ก็อยากเล่นออกมา แล้ววันหนึ่งพอเขาอายุมากขึ้น เขาเลยยังมีกลิ่นความอยากเล่นมุกต่างๆ อยู่

     บาส: แต่ป๊าเวลาอยู่กับลูกชายจะเป็นคนละโหมดกับลูกสาวนะ  

     จูนจูน: หมายถึงเวลาอยู่กับเฮียบาสเขาจะโหดกว่าเหรอ  

     บาส: คือสมัยที่ผมเป็นเด็ก เวลาป๊าเลี้ยงลูกชาย เขาจะไม่เลี้ยงแบบประคบประหงม แต่เขามองว่านี่คือมนุษย์เพศชายในครอบครัวที่จะต้องช่วยรับผิดชอบดูแลมนุษย์เพศหญิง ฉะนั้นเอ็งต้องช่วยแม่ดูแลน้องสาวนะ

     จูนจูน: ส่วนจูนมองว่าป๊าตามใจ (หัวเราะ) จนถึงเวลานี้ก็คิดว่าจูนสนิทกับป๊ามากที่สุด อาจเป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่จูนได้อยู่กับป๊ามันเยอะกว่าลูกคนอื่นมากๆ เพราะสมัยที่พี่ทุกคนยังเป็นเด็ก ป๊าจะต้องไปทำงานเป็นเซลล์ ซึ่งต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัด ส่วนจูนเป็นลูกที่เกิดมาตอนป๊าเขาได้อยู่บ้านแบบฟูลไทม์แล้ว จูนเลยได้อยู่กับเขาตลอดเวลา

     (อาเล็ก-สุรพล พูนพิริยะ ในอดีตเคยทำงานในตำแหน่งเซลล์ขายผลิตภัณฑ์ประจำบริษัท คาโอ ประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ชั้นนำอย่างยาสระผมแฟซ่า, น้ำยาซักผ้าขาวไฮเตอร์, ผลิตภัณฑ์ล้างจานวันเดอร์ฟูล, ผ้าอนามัยลอรีเอะ, ผงซักฟอกแอทแทค ฯลฯ)  

     บาส: ประเด็นที่จูนเล่าว่าสมัยผมเด็กๆ ป๊าต้องไปทำงานต่างจังหวัดนี่โยงไปถึงเรื่องเล่าของผมเมื่อกี้ได้นะครับ เพราะด้วยความที่เขาเป็นเซลล์ เขาต้องออกไปต่างจังหวัดทีละครึ่งเดือน ฉะนั้นเขาเลยเข้มงวดกับลูกชายมาก เพราะคาดหวังว่าตอนที่เขาไม่อยู่ ผมกับเฮียบอลต้องคอยดูแลผู้หญิงในครอบครัวแทน

     จูนจูน: จริงมากค่ะที่เฮียบอลกับเฮียบาสดูแลแบบ… ไม่รู้ว่าเพราะจูนเป็นน้องสาวหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษมาก ซึ่งพอโตขึ้นแล้วเราออกไปเจอผู้ชายคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนที่เข้ามาในชีวิตก็ตาม เราจะรู้สึกเลยว่า เฮ้ย พี่ชายเราไม่เป็นแบบนี้ เพราะเขาใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากจนเราเข้าใจมาตลอดว่าผู้ชายทุกคนต้องเป็นแบบนี้ ซึ่งพี่ๆ เองเขาก็ได้รับตรงนี้มาจากป๊าอีกทีด้วย  

     บาส: ผมต้องขอโทษแทนผู้ชายทุกคนด้วยที่สร้างมาตรฐานไว้สูงไป  

     จูนจูน: คือเราไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติหรือว่าจูนตั้งความหวังมากไป ความจริงผู้ชายปกติเขาอาจจะทำหรือไม่ทำแบบนี้ก็ได้

 

แสดงว่าถ้าจะเลือกคบกับใคร อิทธิพลความเป็นผู้ชายแบบฉบับป๊ากับพี่ชายนี่มีผลมากต่อการตัดสินใจ

     จูนจูน: พูดเลยว่าจูนจะพยายามหาคนที่เป็นแบบป๊าและพี่ชายในการจะมาดูแลหมายถึงถ้าจูนเจอบางอย่างของคนที่คุยอยู่แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมจุดนี้ยูไม่ทำวะ ทั้งที่ถ้าเป็นพี่ชายหรือเป็นพ่อเรา เขาจะทำนะ จูนก็จะพูดกับเขาเลยว่ายูต้องทำอย่างนี้นะ

 

ถามคนเป็นพ่อบ้าง จำเป็นไหมว่าลูกสาวควรพาแฟนมาเจอ

     พ่อ: ผมไม่บังคับ แต่เขาก็พามารายงานตัวทุกที แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแคร์คือความสุขของเขา อย่างหนุ่มสาวเขาทำความรู้จักกันแล้ววันหนึ่งเกิดจะคอนเวิร์สกัน ผมไม่แคร์เลยนะ เพราะนั่นแสดงว่าเขายังไม่ใช่ตัวจริงของกันละกัน แต่ผมขออย่างเดียวว่าจูนอย่าร้องไห้ อย่าฟูมฟาย ผมเข้าใจว่ามันเป็นอารมณ์ ณ ตอนนั้น แต่ผมขอให้คุณจบอารมณ์ตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะถ้าคุณทุกข์ทรมาน คนเป็นพ่อคือคูณสอง ซึ่งผมไม่อยากเห็น ผมรับไม่ได้ ผมขอแค่นั้น

 

 

เวลาพ่อสอนเรื่องความรักนี่ควรต้องเชื่อไหมครับ

     จูนจูน: จูนเชื่อประมาณหนึ่งค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่อะไรที่เป็นประโยชน์ จูนฟังจากทั้งป๊า แม่ และพี่ๆ ทุกคน อย่างเรื่องเบื้องบนลิขิต แรกๆ อาจจะเถียงนะว่าไม่หรอก ถ้าเราตั้งใจจริงว่าจะทำอะไร ยังไงต้องทำได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะฝีมือเรา ซึ่งเป็นความคิดแบบเด็กๆ แต่พอยิ่งโตขึ้นก็เริ่มยอมรับได้ว่า บางอย่างถ้ามันจะเกิดก็ต้องเกิด เราเริ่มบาลานซ์ทั้งสองฝั่ง เรื่องที่ได้ฟังจากป๊าเราก็เชื่อ แต่ขณะเดียวกันเราก็ฟังจากพี่ๆ ทุกคนด้วย เพราะเขาก็มีความคิดอีกมุมที่เป็นประโยชน์เหมือนกัน  

 

จนถึงวันนี้ ผู้กำกับร้อยล้านมีโอกาสได้ร่วมงานกับพ่อและน้องสาวบ่อยขนาดไหน

     บาส: ผมเคยร่วมงานกับคุณอเล็กซ์ตั้งแต่ตอนทำงานโฆษณาแล้วครับ หรืองานที่ผมกำกับบางตัวก็ให้ป๊าเล่น อย่างล่าสุดในหนัง ฉลาดเกมส์โกง ตอนแรกบทผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพทวีปัญญา ความจริงเป็นผู้ชายนะครับ ผมยังคุยกับทีมแคสติ้งอยู่เลย ว่าถ้าป๊ามาเล่นก็ไม่ต้องแคสต์เลย แต่ในนาทีสุดท้ายผมเกิดเปลี่ยนใจว่าให้ผู้อำนวยการเป็นผู้หญิงดีกว่า

 

ถ้าต้องเล่นหนังที่ลูกชายกำกับจะเขินไหม

     พ่อ: ไม่เขิน แต่ผมคงเกร็ง เกร็งในแง่ที่ว่าถ้าเราทำได้ไม่ดีอย่างที่ต้องการแล้วมันจะไม่กล้าดุเรา หรือไม่กล้าเรียกมาบอกว่าคุณต้องทำอย่างนี้สิ ถ้าเขาพูดกับเราตรงๆ ว่าคุณต้องการอะไร ตรงนี้เยอะไป ตรงนี้น้อยไป ผมเล่นให้ได้นะ แล้วเวลาแสดงอะไรผมไม่ห่วงเรื่องเปลืองตัวนะ เพราะผมรู้ว่าเมื่อรับงานแล้วผมต้องเต็มที่

 

ถ้าลูกดุมากๆ ทำยังไงดีครับ

     พ่อ: มันไม่กล้าดุผมหรอก (หัวเราะ) นี่ผมพูดในฐานะผู้กำกับกับนักแสดงนะ ก็กูทำได้เท่านี้ ถ้ามึงคิดว่ายังดีไม่พอ มึงก็เปลี่ยนตัวไปสิ  

     บาส: หรือไม่ผมอาจจะโดนเขาด่ากลับว่า ดุหาพ่อมึงเหรอ (หัวเราะ)  

 

น้องสาวล่ะ ดูเหมือนจะร่วมงานกันอยู่เรื่อยๆ นะครับ

     บาส: ผมเคยร่วมงานกับเขามาหลายรอบแล้ว ซึ่งงานก็ออกมาโอเคเลยนะครับ สำหรับผม เขาเป็นคนมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ไม่ว่าเล่นบทไหน เขาจะเอาเสน่ห์ของตัวเองใส่ลงไป ทำให้งานมีชีวิตชีวา ซึ่งมันเป็นซิกเนเจอร์ในแบบของเขา

     ความจริงอย่างหนัง ฉลาดเกมส์โกง ผมก็ให้จูนไปแคสต์นะครับ แคสต์บทเดียวกับออกแบบ (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) ซึ่งตอนดูเทปแคสต์ผมก็สนใจ เพราะเขาทำให้ตัวละครดูมีชีวิตในแบบของเขา มีผู้บริหารหลายๆ คนที่ดูแล้วชอบด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วคิดว่าถ้าจะต้องเลือกเขาจริงๆ หนังเรื่อง ฉลาดเกมส์โกง จะไม่ใช่แบบที่ทุกคนได้ดู แต่มันจะเป็นอีกโทนหนึ่ง ซึ่งหลุดจากสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ตอนแรก

 

ไม่กลัวเหรอว่าถ้าเลือกแล้วคนจะคิดว่าคุณใช้สิทธิความเป็นพี่เอาน้องสาวมาเล่น

     บาส: ผมไม่กลัว เพราะถ้าเขาทำได้ดีจริงๆ แล้วใครจะว่าอะไรได้ ตัวงานมันพิสูจน์อยู่แล้วไง

     จูนจูน: เฮียบาสไม่เครียด แต่จูนเครียดนิดนึงนะ คือถ้าเป็นหนังของเฮียบาส สเกลมันใหญ่เบอร์นี้ แล้วจะให้จูนไปเล่น จูนคงไม่ชอบ อีกอย่างเราก็ไม่อยากให้คนมองด้วย แหม เอาน้องสาวมาเล่น เรารู้แหละว่าบางคนเขาอาจจะพูดเล่น แต่ในใจเรามันก็รู้สึกนิดนึง

 

สมมติว่าจูนจูนเล่นเป็นตัวละคร ‘ลิน’ ใน ฉลาดเกมส์โกง หนังเรื่องนี้จะออกมาเป็นอย่างไร

     บาส: ก็เป็นหนังตลกไง (หัวเราะ) คงก็จะมีความฮิปสเตอร์ “เฮ้ย แกเข้าใจปะ มันเป็นเรื่องไทม์โซนอะไรอย่างนี้” “เฮ้ยแก ฉันจะส่งคำตอบให้พวกแกเว้ย” (เลียนแบบการพูดของจูนจูน)

 

ระหว่างเรื่องแรกกับเรื่องที่สอง คุณเว้นช่วงไปถึง 5 ปี คิดว่าการเป็นผู้กำกับร้อยล้านจะทำให้คุณมีผลงานหนังเรื่องใหม่เร็วขึ้นกว่าเดิมไหม มีโปรเจกต์ใหม่เตรียมไว้บ้างหรือยัง

     บาส: ตอนนี้ยังไม่มีเลยครับ การทำหนังมันยากและใช้ต้นทุนเยอะ ทั้งต้นทุนชีวิต ต้นทุนเวลา อีกอย่างโจทย์ในการทำงานของผมคือทำอะไรไม่ซ้ำรอย มันเลยอาจจะต้องสะสมอะไรบางอย่างก่อนแล้วจึงค่อยทำ

 

ถ้าจะให้หยิบสักโมเมนต์ในครอบครัว ‘พูนพิริยะ’ มาทำเป็นหนัง โมเมนต์แบบไหนที่คุณคิดว่าน่าสนใจ

     บาส: ผมอยากทำหนัง magical realism เหมือนพวกแฟมิลีแมน หนังที่เหมือนจะเป็นเรื่องจริง แต่มีความเซอร์เรียลอยู่ ผมคงทำหนังเกี่ยวกับตัวเองที่ไปเจอป๊าสมัยเป็นเซลล์แมนอยู่ต่างจังหวัด ไปเจอกันในโรงแรมแล้วได้มานั่งคุยกัน ส่วนกับจูนอาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย ผมอาจจะทำหนังเกี่ยวกับพี่น้องในอนาคตว่า สมมติถ้ามันต้องอยู่กันแค่สองคนแล้วแชร์ชีวิตร่วมกันจะเป็นยังไง

 

ถ้าพรุ่งนี้ครอบครัว ‘พูนพิริยะ’ หยุดพร้อมกันหมด ลองเลือกหนังขึ้นมาสักเรื่องสิที่คิดว่าพวกคุณน่าจะดูด้วยกันได้  

     บาส: ผมคงเลือกหยิบ Little Miss Sunshine

     จูนจูน: เฮ้ย รู้ไหมว่าเมื่อกี้ตอนที่พูดว่าถ้าเอาครอบครัวมาทำเป็นหนังจะเป็นเรื่องอะไร จูนนึกถึง Little Miss Sunshine เป็นเรื่องแรกเลย  

     บาส: เออ หนังมันมีกลิ่นครอบครัว เป็นตัวแทนของความไม่สมบูรณ์แบบ

     จูนจูน: ใช่ เป็นหนังโรดทริปที่มันมีความจริงปนอยู่ในความตลก ความดราม่า ที่เกิดจากความไม่สมบูรณ์แบบของคนในครอบครัว เวลานึกถึงเรื่องนี้แล้วชอบคิดว่าฉันเหมือนน้องคนสุดท้องในเรื่อง (หัวเราะ)

FYI
  • Goodfellas, The Exorcist, Groundhog Day, The Deer Hunter และ The Godfather คือตัวอย่างม้วนวิดีโอภาพยนตร์ที่คุณพ่อเคยซื้อให้บาส นัฐวุฒิ ซึ่งปัจจุบันเจ้าตัวยังคงเก็บไว้ และเร็วๆ นี้เขากำลังจะรื้อมันออกมาปัดฝุ่น พร้อมกับเล่าเรื่องราวของเด็กอ้วนที่ชอบดูหนังให้ THE STANDARD ฟังอีกครั้ง
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising