×

อยากลงทุนใน ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ แต่ไม่มีความรู้ต้องทำอย่างไร?

09.07.2021
  • LOADING...
คริปโตเคอร์เรนซี

ปัจจุบันเราเริ่มเห็นคนทั่วไปให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น หุ้น กองทุน ทองคำ หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่กำลังมาแรงและนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของแวดวงการลงทุนคือ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ อันเนื่องมาจากผลตอบแทนที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้นับว่ามีความผันผวนที่สูงมาก โดยจะเห็นว่าราคาเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีในหลายๆ เหรียญสามารถขึ้นลงได้เกินกว่า 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ดังนั้นผู้ลงทุนเองจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ได้

 

คำถามคือ หากเป็นคนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้เพราะเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่ยังมีความกังวลต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจมองไม่เห็นควรทำอย่างไร? ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH พาไปหาคำตอบ

 

การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น การเปิดบัญชีส่วนตัวผ่าน Exchange ต่างๆ ทั้งในไทยเเละต่างประเทศ ซึ่งในกรณีผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจอยู่แล้วก็อาจเปิด Wallet ส่วนตัวเเละเก็บรักษาเหรียญด้วยตนเอง ได้

 

ส่วนอีกหนึ่งช่องทางและถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ ‘มือใหม่’ ที่สนใจลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีแต่ยังไม่เข้าใจการลงทุนที่ดีพอ นั่นคือการฝากมืออาชีพบริหารจัดการ โดยมี ‘ผู้จัดการเงินทุน’ ทำหน้าที่ในการบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้มาลงทุน

 

ปัจจุบันในประเทศไทยมีบริการประเภทนี้แล้ว คือ Merkle Capital (เมอร์เคิล เเคปปิตอล) ซึ่งถือเป็นผู้บริหารจัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซีโดยเฉพาะรายแรกในไทย สังกัดอยู่ภายใต้บริษัท Cryptomind Group เป็นบริษัทให้คำปรึกษาและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

 

คิม-กานต์นิธิ ทองธนากุล Chief Investment Officer (CIO) ของ Merkle Capital กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันทางบริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยได้ดำเนินการยื่นขอไปแล้วตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งทางสำนักงาน ก.ล.ต. จะใช้เวลาในพิจารณาเพื่อให้การขออนุญาตเรียบร้อยเเละคาดว่าจะเเล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 นี้

 

สำหรับจุดเด่นของบริการจัดการเงินทุนนี้คือ การเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ที่สนใจลงทุนแต่ไม่มีเวลาลงทุนด้วยตัวเองหรือไม่มีเวลามาศึกษาว่าสินทรัพย์ตัวนั้นๆ มีหลักการทำงานอย่างไร เพราะผู้จัดการเงินทุนจะทำหน้าที่เหล่านั้นให้

 

“ในส่วนของ Merkle Capital เรามีประสบการณ์ในสินทรัพย์ดิจิทัลมาไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งก็มีผู้ที่ไว้วางใจมาลงทุนกับเราจำนวนมาก โดยปัจจุบันมี AUM (สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร) อยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท”

 

คิมกล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนของ Merkle Capital ยึดหลักการลงทุนใน 3 รูปแบบ คือ

 

  1. กลยุทธ์การลงทุน Bitcoin Alpha (M-BTCA) จะลงทุนในสินทรัพย์เพียงชนิดเดียวซึ่งก็คือเหรียญ Bitcoin ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุดในบรรดาเหรียญต่างๆ สำหรับนักลงทุนและนิติบุคคลที่อยากจะถือ Bitcoin โดยไร้ความกังวลเรื่องการบริหารและการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล

 

  1. กลยุทธ์การลงทุน Large Cap (M-LCAP) โดยนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพอันดับต้นๆ ที่ถูกคัดเลือกโดยบริษัท ที่รวมถึง Bitcoin และเหรียญอื่นๆ ที่เรียกกันว่า ‘Altcoin’ อีกด้วย ซึ่งเหรียญเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าอยู่อันดับต้นๆ ของตลาด ที่อ้างอิงได้จากเว็บไซต์ CoinMarketCap (เป็นเว็บไซต์ที่จัดอันดับคริปโตเคอร์เรนซีต่างๆ ทั่วโลกตามมูลค่าของเหรียญนั้นๆ) เเละจะมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติไปยังเหรียญต่างๆ ตามเงื่อนไขที่ทางบริษัทออกแบบมา โดยขึ้นกับศักยภาพของเหรียญใดๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด โดยหากเทียบกับการลงทุนเเบบดั้งเดิมสามารถเทียบได้กับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน SET50 (วัดตามมูลค่าของบริษัทที่มีมูลค่าจากสูงสุดไปต่ำสุด) ของตลาดหุ้นไทย

 

  1. กลยุทธ์การลงทุน DeFi Yield (M-DFY) จะนำเงินไปลงทุนใน Platform DeFi (Decentralized Finance) ต่างๆ โดยเน้นการลงทุนใน Platform ที่ปลอดภัยเเละมีความน่าเชื่อถือ (อาทิ ได้รับการตรวจสอบโค้ดจากบริษัทตรวจสอบโค้ดใน DeFi ชื่อดังอย่าง CertiK) ซึ่งเน้นลงทุนในคู่เหรียญที่เป็น Stable Coin (เหรียญที่มีการค้ำประกันมูลค่าเทียบเท่าดอลลาร์ อย่าง USDT, BUSD หรือ USDC) เพื่อที่จะทำให้เงินต้นไม่โดนผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและจะได้รับผลตอบเเทนจากการนำไปทำกิจกรรมทางการเงินเหล่านี้ เช่น Lending หรือ การปล่อยกู้ผ่าน Smart Contract เเล้วนำดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้มาจ่ายเเก่ผู้ให้กู้

 

นอกจากนี้ยังมีการทำ Staking หรือการนำเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีไปวางใน Platform เพื่อยืนยันธุรกรรมในระบบเเล้วรับผลตอบเเทน หรือการทำ Liquidity Pool ซึ่งก็คือการนำคู่เหรียญไปวางใน Platform เพื่อให้คนใน Platform DeFi เเลกเปลี่ยนเหรียญกัน โดยจะได้ผลตอบเเทนเป็นค่าธรรมเนียมและเหรียญของ Platform นั้นๆ เป็นโบนัสอีกด้วย เเล้วนำผลตอบเเทนที่ได้จากกิจกรรมทางการเงินที่กล่าวมาข้างต้นเหล่านั้นมาทบต้นให้เเก่นักลงทุน

 

คิมกล่าวว่า ในกลยุทธ์การลงทุนเหล่านี้ได้กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 1 ล้านบาท เเละคิดค่าธรรมเนียมที่เป็น Fix คือ Front end Fees (ค่าธรรมเนียมขาเข้า) ที่ 1% เเละค่าธรรมเนียมผันเเปร คิดเป็น 20% ของกำไร หากไม่มีกำไรก็ไม่คิด โดยเป็นการบริการที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาในการถือ ผู้ลงทุนสามารถถอนเงินออกได้ทุกเมื่อ

 

นอกจากนี้ คิมยังกล่าวด้วยว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเหมาะกับผู้ที่มองหาทางเลือกการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือการลงทุนแบบดั้งเดิม เพียงแต่ผู้ลงทุนต้องยอมรับความเสี่ยงได้สูงและเงินที่นำมาลงทุนต้องเป็นเงินที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในระยะเร่งด่วน โดยผู้ลงทุนอาจจะลองแบ่งเงินซัก 1-10% มาลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ดูก็ได้หากสนใจที่จะเข้ามาลงทุน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising