×

โรนัลโดและลูกากู การดวลกันของคู่ศูนย์หน้าที่ร้อนแรงที่สุดในยูโร 2020

27.06.2021
  • LOADING...
คริสเตียโน โรนัลโด

HIGHLIGHTS

  • คริสเตียโน โรนัลโด และ โรเมลู ลูกากู คือสองศูนย์หน้าที่ทำผลงานได้ร้อนแรงที่สุดในศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ่านมา
  • วิธีการเล่นของทั้งสองคนมีความแตกต่างกัน ขณะที่คนหนึ่งเป็นศูนย์กลาง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทีม อีกคนจะทำทุกอย่างเพื่อทีม
  • ลูกากูมองโรนัลโดเป็นต้นแบบที่จะพยายามไต่ระดับไปให้ถึงให้ได้ในอนาคต เพราะสิ่งที่ CR7 ทำได้ในวัย 36 ปีเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ท่ามกลางเกม 8 นัดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกฟุตบอลยูโร 2020 แม้เกมที่จะถูกจับตามองมากที่สุดในเชิงของชื่อเสียงและประวัติศาสตร์คือการกลับมาพบกันของอังกฤษ และเยอรมนีที่มีบัญชีแค้นกันมาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1990 และฟุตบอลยูโร 1996

 

แต่เกมที่ใหญ่ที่สุดจริงๆ ของรอบนี้คือการพบกันระหว่างเบลเยียมและโปรตุเกส ซึ่งจะลงฟาดแข้งกันที่สนามลา การ์ตูฆา ในเมืองเซบีญา ประเทศสเปนคืนนี้ต่างหาก

 

และถึงทั้งสองทีมจะอุดมไปด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มากมาย และเป็นทีมที่ได้รับการขนานนามว่าอยู่ในยุคของ Golden Generation หรือยุคทองด้วยกันทั้งคู่ แต่คนที่เป็นจุดสนใจมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นการเผชิญหน้ากันของกองหน้าระดับเวิลด์คลาสอย่าง โรเมลู ลูกากู กับ คริสเตียโน โรนัลโด

 

ระหว่าง ‘รอม’​ กับ ‘รอน’ (ชื่อเล่นของทั้งสองคน)

 

ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากันเพราะในระดับสโมสรแล้วเคยห้ำหั่นกันมาก่อนในเกม Derby d’Italia ระหว่างอินเตอร์ มิลานและยูเวนตุส ซึ่งเป็นต้นสังกัดของทั้งคู่ เพียงแต่เมื่อต้องมาเจอกันในนามทีมชาติแล้วความรู้สึกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก

 

เพราะทั้งคู่ต่างภาคภูมิใจกับการรับใช้ชาติ และต่างมีเป้าหมายที่จะพาทีมประสบความสำเร็จให้ได้

 

ความจริงการเผชิญหน้ากันของทั้งสองนั้นเป็นเรื่องที่แอบดูประหลาด เพราะด้วยวัยของโรนัลโดที่มาถึง 36 ปี เขาควรจะมาถึงบั้นปลายของชีวิตการเล่นโดยที่อาจจะแทบไม่เหลือสภาพแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือปัจจุบันนี้ ‘CR7’ ก็ยังคงรักษาสภาพร่างกายเอาไว้ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และไม่เพียงเท่านั้นยังคงรักษามาตรฐานในการเล่นเอาไว้ได้ด้วย

 

โดยเวลานี้โรนัลโด ขึ้นนำดาวซัลโวของยูโร 2020 อยู่จากการเล่น 3 นัดทำไปแล้วถึง 5 ประตูด้วยกัน และช่วยให้โปรตุเกสสามารถผ่านเข้ามาสู่รอบนี้ได้แม้ว่าผลงานโดยรวมของทีมจะไม่ถึงกับดีอย่างที่ควรจะเป็นก็ตามเพราะพวกเขาชนะแค่เกมแรกเหนือฮังการีมาแค่นัดเดียว (และกว่าจะได้ 3 ประตูก็ช่วงท้ายเกมแล้ว) นอกนั้นคือการแพ้ต่อเยอรมนีแบบหมดสภาพ และเสมอกับฝรั่งเศส

 

สำหรับลูกากูเขาอาจจะไม่ได้ถึงกับถูกยกให้เป็นพระเอกของทีมเพราะยังมีเบลเยียมเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมมากมาย นอกจากเขาแล้วยังมี เควิน เดอ บรอยน์ รวมถึง เอแดน อาซาร์ ที่แม้ฟอร์มจะตกลงไปแต่ก็ส่งสัญญาณเหมือนจะเริ่มกลับมา

 

เพียงแต่จากฟอร์มที่ปรากฏแล้วลูคาคูเป็นหนึ่งในนักเตะที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ เป็นศูนย์หน้าที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

 

และเราก็ได้เห็นแล้วว่าเขาสามารถต่อกรกับโรนัลโดได้เป็นอย่างดีในเซเรีย อา ซึ่งแม้ผลงานส่วนตัวแล้วจะแพ้ในการแข่งชิงดาวซัลโว (โรนัลโด 29 ลูกากู 24 ประตู) แต่ลูกากูพาอินเตอร์คว้าสคูเด็ตโตได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี และสำหรับกองหน้าชาวเบลเยียมแล้วเขาให้ค่ากับสิ่งนี้มากกว่าความสำเร็จของทีม

 

คริสเตียโน โรนัลโด

 

ระหว่าง All for One กับ One for All

 

ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างโรนัลโด และลูกากูคือ ‘วิธีคิด’ ในการเล่นฟุตบอล

 

สำหรับโรนัลโด เราได้เห็นอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าเขาคือศูนย์กลางในการเล่นของทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมอะไรก็ตามจำเป็นที่จะต้องเล่นเพื่อให้เขาสามารถทำผลงานได้ดีที่สุด จนบางครั้งก็ถูกมองว่าเขายึดตัวเองมากกว่าเรื่องของทีม

 

ทั้งนี้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมดเพราะลึกๆ แล้วดาวเตะชาวโปรตุเกสเองนั้นก็คิดถึงทีมเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เขาพร้อมทุ่มเททุกอย่างทั้งแรงกายแรงใจ และแสดงความเป็นผู้นำที่โดดเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่แค่ด้วยอุปนิสัยความไม่ชอบแพ้ การไม่อยากเป็นสองรองใครทำให้โรนัลโดแสดงออกผ่านวิธีการเล่นเช่นนั้น และเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่เขาจะฝากความหวังเอาไว้กับนักเตะที่เก่งที่สุดของทีม

 

โรนัลโดและโปรตุเกสจึงเป็น All for One คือทุกคนทำเพื่อคนคนเดียว (เพราะเขาคือความหวังสูงสุด)

 

ขณะที่ลูกากูเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่อยู่ตรงข้ามด้วยวิธีคิดแบบ One for All เพราะแม้จะมีความเป็นศูนย์หน้าที่ไม่ชอบยอมแพ้ใครเหมือนกัน แต่ในวิธีการเล่นแล้วดาวยิงวัย 27 ปีจะเล่นเพื่อทีมมากกว่าแค่ตัวเอง

 

ลูกากูจะใช้ความสามารถของตัวเอง ทั้งความเร็ว ทักษะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความแข็งแกร่งในการที่จะเล่นงานแนวรับของคู่ต่อสู้ให้น่วม ถ้าหากมีโอกาสที่เขาจะจบสกอร์ได้เองเขาไม่รีรอที่จะทำ แต่หากเขาจะเปิดโอกาสให้เพื่อนที่มีโอกาสดีกว่าได้เขาจะทำทันที

 

อย่างไรก็ดี ทั้งสองแนวทางไม่มีผิดหรือถูก

 

อยู่ที่ว่าใครจะพาทีมคว้าชัยชนะได้มากกว่าเท่านั้น

 

คริสเตียโน โรนัลโด

 

ไม่ใช่คู่ปรับแต่เป็นครู

 

หนึ่งในสิ่งที่เชื่อกันว่าทำให้ลูกากูพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมากในการเป็นนักฟุตบอลที่ดีขึ้นในสีเสื้ออินเตอร์ มิลาน คือการที่เขาได้มีคู่แข่งเป็นสุดยอดนักเตะอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด

 

“พูดกันในฐานะส่วนตัวแล้ว ใช่” ลูกากูตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่อยากรู้ว่าการมาเล่นในเซเรีย อา โดยมีโรนัลโดเป็นคู่แข่งมีส่วนช่วยพัฒนาตัวเขาไหม

 

ทั้งนี้ แม้จะมีการเหน็บกลับว่า “เขาก็คงอยากได้พละกำลังแบบผมเหมือนกัน” แต่สำหรับลูกากูแล้วสิ่งที่โรนัลโดทำตลอดชีวิตการเล่น โดยเฉพาะการที่ยังรักษาสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้จนถึงเวลานี้นั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก

 

แต่ถ้าจะถามหาสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะเรียนรู้จากรุ่นพี่ที่จะเป็นคู่แข่งกันในเกมวันนี้มีเรื่องเดียว

 

“ในตอนที่ยูเวนตุสแพ้ปอร์โต ตกรอบแชมเปียนส์​ลีก เสียงวิจารณ์ที่เขาต้องเจอนั้นทำให้ผมแทบไม่อยากเชื่อเลย แต่ในเกมต่อมาเขาก็ทำแฮตทริกได้

 

“มันเป็นแรงกระตุ้นที่ดีมากกับการที่ได้เห็นคนอายุเท่านี้ (36 ปี) เล่นในลีกเดียวกันและยังคงเล่นได้แบบนี้ มันทำให้ผมคิดว่าทำไมผมจะไปให้ถึงระดับของเขาบ้างไม่ได้ หรืออย่างน้อยให้ใกล้เคียงที่สุดก็ยังดี”

 

ขณะที่โรนัลโดแม้ว่าเขาจะไม่ได้นับลูกากูเป็นศัตรูคู่แข่งชั่วชีวิตเหมือน ลิโอเนล เมสซี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการก้าวขึ้นมาท้าทายของยักษ์ใหญ่จากเบลเยียมก็ช่วยให้เกิดความรู้สึกคึกคักขึ้นมาได้มาก

 

หาก CR7 คิดจะอยู่กับยูเวนตุสต่อและลูกากูยังยืนกรานไม่คิดจะย้ายไปไหน การต่อสู้ของทั้งสองน่าจะเร้าใจอย่างมากในฤดูกาลหน้า

 

แต่ตอนนี้ต้องมาวัดกันในเกมนี้ก่อน ใครแพ้ตกรอบทันที!

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

FYI

ถ้าให้เลือกได้ ลูกากูบอกว่าเขาอยากจะเลี้ยงบอลและยิงบอลให้ได้แบบโรนัลโด

หากโรนัลโดยิงประตูได้ในเกมกับเบลเยียม เขาจะกลายเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวตลอดกาลในทีมชาติ แซงหน้า อาลี ดาอี อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอิหร่านเจ้าของสถิติเดิมที่ยิงเท่ากันอยู่ตอนนี้ที่ 109 ประตู

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising