×

หุ้นแบงก์ตัวแรกรอบ 10 ปี ‘ธนาคารไทยเครดิต’ เทรดวันแรกร่วงกว่า 5% จากราคา IPO

09.02.2024
  • LOADING...
ธนาคารไทยเครดิต

หุ้น บมจ.ธนาคารไทยเครดิต หรือ CREDIT เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (9 กุมภาพันธ์) เป็นวันแรก ราคาเปิดการซื้อ-ขายที่ 27.50 บาท ลดลง 1.50 บาท ติดลบ 5.17% จากราคาจองซื้อ IPO ที่ 29 บาท โดยระหว่างการซื้อ-ขาย ภาคเช้าราคาขึ้นทำจุดสูงสุดที่ระดับ 27.75 บาท ขณะที่ราคาลงไปแตะระดับจุดต่ำสุดที่ 25.25 บาท จากนั้นราคามาปิดการซื้อ-ขาย ภาคเช้าที่ระดับ 26.25 บาท ลดลง 2.75 บาท ลบ 9.48%

 

CREDIT เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน SET ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจธนาคาร ด้วยมูลค่าระดมทุน 1,876.47 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 35,649.39 ล้านบาท ซึ่ง CREDIT เป็นหุ้นธนาคารพาณิชย์แห่งที่ 12 ที่เข้ามาจดทะเบียนใน SET ในรอบ 10 ปี และเป็นหุ้นลำดับที่ 2 ที่เข้ามาจดทะเบียน SET ในปี 2567

 

CREDIT เป็นธนาคารพาณิชย์เน้นการให้บริการสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย (Nano and Micro Finance) และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) มายาวนานกว่า 15 ปี แก่กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและกลุ่มคนค้าขายที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ผ่านสาขาการให้บริการกว่า 527 สาขา ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

 

โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มี Net Interest Margin (NIM) สูงถึง 8.76% มีจำนวนสัญญาให้สินเชื่อกว่า 370,000 บัญชี

 

มีทุนชำระแล้ว 6,146.45 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวม 254.13 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมของ OCA Investment Holdings I Pte. Ltd. 189.42 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 64.71 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้แก่ 

 

  1. บุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ พนักงาน และผู้มีอุปการคุณของธนาคาร ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2567  

 

  1. ผู้ลงทุนสถาบัน รวมถึงผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ที่จองซื้อในประเทศ นิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อ

 

โดยมีธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน มี บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย), บล.บัวหลวง และ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม

 

ผู้บริหารมองหุ้นต่ำจองตามภาวะตลาด

 

วิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนาคารไทยเครดิต เปิดเผยว่า  กรณีหุ้น CREDIT เข้าซื้อ-ขายใน SET วันแรกมีราคาต่ำจอง IPO คาดว่าน่าจะเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้น โดยคงต้องเข้าไปตรวจสอบถึงสาเหตุของราคาหุ้นที่ปรับมาจากปัจจัยอะไร เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนเป็นนักลงทุนสถาบัน และมีนักลงทุนรายย่อยสัดส่วนน้อย

 

ขณะที่ในด้านปัจจัยพื้นฐานธนาคารเชื่อว่ายังเติบโตได้ โดยในปี 2567 ธนาคารตั้งเป้าหมายรักษาการเติบโต 20-30% ทั้งในส่วนการปล่อยสินเชื่อและผลประกอบการ

 

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคาร เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ ปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ส่วนแนวโน้มหนี้เสีย (NPL) น่าจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่สูงมาก

 

ส่วนแผนการปล่อยสินเชื่อยังเน้นในกลุ่มสินเชื่อเพื่อคนค้าขาย และสินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี ซึ่งธนาคารมีความถนัด และยังเป็นกลุ่มที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนอีกจำนวนมาก ยังเป็นกลุ่มที่มีตลาดขนาดใหญ่ และมีโอกาสในการเติบโตของธุรกิจที่สูง จึงไม่มีความจำเป็นในการขยายไปธุรกิจใหม่

 

CREDIT มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 

 

  1. กลุ่ม วี.ซี.สมบัติ และบุคคลในครอบครัวไชยวรรณ ถือหุ้น 68.70% 
  2. OCA Investment Holdings I Pte. Ltd. ถือหุ้น 7.60% 
  3. มิจิตรา กุนารา ถือหุ้น 3.60%

 

FA มอง IPO ที่ 29 บาทต่อหุ้น ความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน 

 

กนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ CREDIT กล่าวว่า การตั้งราคาขายหุ้น IPO ที่ 29 บาทต่อหุ้น มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และลักษณะการดำเนินธุรกิจ ซึ่งธนาคารไทยเครดิตเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เน้นการปล่อยสินเชื่อรีเทลเพื่อพ่อค้าและแม่ค้า แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งแตกต่างจากธุรกิจ Non-Bank ที่เน้นการบริโภค ดังนั้นการตั้งราคา IPO ของหุ้น CREDIT จึงอยู่ช่วงกึ่งกลางของ 2 ธุรกิจ ซึ่งมองว่ามีความสมเหตุสมผล

 

โดยคิดจากอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (Price to Book Value: P/BV) เท่ากับ 2 เท่า ถือว่าเป็นราคาเหมาะสมอยู่ระดับปานกลาง คือราคาต่ำกว่า Non-Bank ที่ P/BV เฉลี่ยที่ 2.6-3 เท่า และสูงกว่าธนาคารพาณิชย์เล็กน้อย เฉลี่ยที่ 1.8 เท่า ซึ่งเป็นธนาคารที่มีความมั่นคงเหมือนธนาคารพาณิชย์ แต่สร้างการเติบโตคล้ายกับ Non-Bank

 

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดไอพีโอผันผวน และภาวะตลาดขณะนี้ที่นักลงทุนยังรอติดตามหลายๆ ปัจจัย แต่เรายังมองว่าด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นโอกาสดี และเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะมีธุรกิจแบงก์เข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีนักลงทุนสถาบันต่างชาติให้ความสนใจจองซื้อเต็ม และยังเป็นหุ้นแบงก์ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) สูงสุดในอุตสาหกรรม โดยในงวด 9 เดือน ปี 2566 อยู่ที่ 8.2%

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising