กลายเป็นคำตอบที่ใครๆ ก็อยากรู้ว่า หลังจาก ลิซ่า BLACKPINK ไม่ได้ต่อสัญญากับ AIS แล้ว ใครจะได้ไป ล่าสุดเหมือนหวยจะไปออกที่ ‘CP ALL’ ซึ่งมีการดึงไปโปรโมตสินค้าให้กับ 7-Eleven
แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ 2 คนกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ขณะนี้ ‘CP ALL’ ได้เซ็นสัญญากับ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ แล้ว ที่เหลือคือการถ่ายทำโฆษณาต่อไป
“คาดว่าดีลในครั้งนี้น่าจะมีค่าตัวอยู่ที่ราว 100 ล้านบาท” หนึ่งในแหล่งข่าวกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อาจไม่ใช่ True! บริษัทแม่ปรับนโยบายการรับพรีเซ็นเตอร์ของ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ จะรับเฉพาะแคมเปญระดับ Global หรือ Regional เท่านั้น
- ปิดฉากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ 3 ปี AIS ยืนยัน ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ไม่ต่อสัญญา เหตุค่ายแจ้งมีดีลใหญ่ที่อาจ ‘Conflict of Interest’
- CP ALL เปิด 7-Eleven สาขาแรกใน ‘กัมพูชา’ แล้ว มีทั้งสเลอปี้ และออลล์ คาเฟ่
THE STANDARD WEALTH สอบถามเรื่องนี้ไปกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ CP ALL ซึ่งได้ตอบกลับมาว่า “ยังไม่ทราบในประเด็นดังกล่าว”
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวที่อยู่ในแวดวงเอเจนซีให้ข้อมูลกับ THE STANDARD WEALTH ว่าตอนนี้บริษัทแม่ปรับนโยบายการรับพรีเซนเตอร์ของ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ จะรับเฉพาะแคมเปญระดับ Global หรือ Regional เท่านั้น ไม่รับแคมเปญที่เป็น Local ทำให้น่าสนใจว่าทำไมถึงรับของ CP ALL
หากมองลึกเข้าไปที่ธุรกิจของ CP ALL จะพบว่ารายได้หลักมาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ นั่นก็คือ 7-Eleven ซึ่ง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีจำนวนร้านทั้งสิ้น 13,253 สาขา ซึ่งไม่ได้มีแค่ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
CP ALL ได้เปิด 7-Eleven สาขาแรกที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในเดือนสิงหาคม 2564 และคาดว่าจะเปิดสาขาแรกใน สปป.ลาว ภายในปี 2565 ทั้ง 2 ประเทศนั้น CP ALL ได้รับสิทธิ์เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยคู่สัญญาอาจตกลงต่ออายุสัญญาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปีด้วยกัน
ดังนั้นเมื่อมองในเรื่องนี้จึงอาจเข้าเค้ากับบริษัทแม่ที่ระบุว่า จะรับเฉพาะแคมเปญระดับ Global หรือ Regional เท่านั้น เพราะ 7-Eleven ไม่ได้มีเฉพาะในไทย และการได้ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ เข้ามาน่าจะช่วยสร้างการรับรู้ได้เร็วขึ้นในประเทศทั้ง 2 เพราะคู่แข่งในประเทศนั้นยังไม่ได้แข็งเกร่งเท่าไร และธุรกิจโมเดิร์นเทรดกำลังเติบโต
ส่วนประเด็นที่ว่า ทำไมต้นสังกัดปฏิเสธการต่อสัญญาเนื่องจากมีดีลกับรายใหญ่ที่มี Conflict of Interest กับ AIS ซึ่งเรื่องนี้อาจมาจากการที่ 7-Eleven มีสินค้าของ True วางขายอยู่ด้วย และอาจมีบางแคมเปญที่จะโปรโมตสินค้าเหล่านี้ซึ่งก็จะเป็น Conflict of Interest ทันที
ฝ่ายประประชาสัมพันธ์ของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลกับ THE STANDARD WEALTH ว่า True มี Shop in Shop ใน 7-Eleven มาไม่น้อยกว่า 3 ปีแล้ว ขณะนี้มีอยู่ราว 1,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งตอนนี้จำหน่ายสินค้าของ TrueMove H, TrueOnline, TrueVisions และสินค้า Internet of Thing โดยมิได้มีการเปิดเผยรายได้จากส่วนนี้ว่ามีอยู่เท่าไร
การที่ CP ALL คว้า ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ไปเป็น ‘พรีเซนเตอร์’ นั้น ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI Group ให้มุมมองกับ THE STANDARD WEALTH ว่าน่าจะไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญกับรายได้มากนัก เพราะ 7-Eleven เป็นเจ้าตลาดที่กินสัดส่วนไปมากกว่า 80% แล้ว
“สิ่งที่ 7-Eleven จะได้แน่ๆ คือการเสริมภาพลักษณ์การเป็นผู้นำตลอดจนสินค้ากลุ่มของกินที่เป็นของ CP เองจะได้อานิสงส์ เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีผู้บริโภคมีรอยัลตี้ต่ำและเปลี่ยนแบรนด์ได้ง่าย ซึ่งตลาดของกินเป็นตลาดที่แข่งกันรุนแรงอยู่แล้ว”
ขณะที่ผลดีต่อ TrueMove H ภวัตมองว่าอาจจะไม่ได้มากนัก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ภาพของลิซ่าผูกไปกับ AIS แล้ว และการย้ายค่ายของผู้บริโภคยังมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณหรือราคาแพ็กเกจ
ที่ผ่านมา 7-Eleven ไม่ได้ใช้เม็ดเงินโฆษณาที่มากนัก ข้อมูลจาก MI Group ระบุว่า ปี 2561 มีการใช้งบ 122 ล้านบาท, ปี 2562 ใช้ 60 ล้านบาท, ปี 2564 ใช้ 120 ล้านบาท ส่วนปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคมใช้ไปเพียง 15 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ใช้ไป 83 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการของ 7-Eleven นั้น CP ALL ได้ระบุว่า ไตรมาส 1/65 มีรายได้รวม 81,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% กำไรสุทธิ 2,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.9%
ในไตรมาสนี้ 7-Eleven มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน เท่ากับ 73,460 บาท และยอดขายเฉลี่ยของร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 13.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 84 บาท ในขณะที่จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 871 คน
ปี 2565 CP ALL วางแผนที่จะเปิด 7-Eleven เพิ่มอีก 700 สาขา ใช้งบลงทุน 3.8-4 พันล้านบาท และใช้อีก 2.4-2.5 พันล้านบาท สำหรับเปิดปรับปรุงสาขาเดิม
ภาพ: Pierre Suu / GC Images