×

นิด้าเผย โควิด-19 ฉุด GDP ไทยปี 63 ยังหดตัว 2-3% เร่งรัฐอัดฉีด 6.5 แสนล้านบาท

24.03.2020
  • LOADING...

วันนี้ (24 มีนาคม) รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ทางนิด้าประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2563 GDP จะหดตัวที่ 2-3% บนสมมติฐานที่ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โควิด-19) เริ่มคลี่คลายในเดือนกันยายนนี้ แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ท่องเที่ยว และภาคธุรกิจ SMEs ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการให้ปิดบริการศูนย์การค้า และธุรกิจบางประเภทในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และบางจังหวัดเป็นการชั่วคราวเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด

 

ทั้งนี้ โควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่คิดเป็นสัดส่วนรวมกัน 60-65% ของมูลค่า GDP ทั่วโลก จึงส่งผลกระทบต่อไทยที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วน 72% ของ GDP ขณะเดียวกันยังส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว 

 

ในด้านการท่องเที่ยวประเมินว่า ปริมาณจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะลดลง 10-13 ล้านคน หรือประมาณ 30% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 2562 ซึ่งมีอยู่เกือบ 40 ล้านคน ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศคาดว่าจะกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้ลดลง 5-6.5 แสนล้านบาท 

 

ขณะเดียวกัน จากปัจจัยทั้งการส่งออกและท่องเที่ยว ส่งผลกระทบต่อความสามารถการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน คือปัญหาหนี้ครัวเรือน โดย ณ สิ้นปี 2562 มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือน 79.3% ของ GDP หรือประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท และหากนับรวมตัวเลขหนี้นอกระบบคาดว่าจะมีสัดส่วนสูงกว่า 100% ของ GDP 

 

ทั้งนี้ นิด้ามองว่ารัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อเป็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยการใช้เงินอัดฉีดจากทุกภาคส่วนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 4-5% ของ GDP หรือประมาณ 6.5 แสนล้านบาท เช่น งบจากกองทุนประกันสังคม, สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ฯลฯ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ติดลบไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

 

“รัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบกลางเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และจำเป็นต้องมีมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจต่างๆ และแรงงานทั้งที่อยู่ในระบบประกันสังคม และไม่อยู่ในระบบประกันสังคมในช่วงที่นายจ้างหยุดกิจการ” 

 

โดยมาตรการระยะสั้นมี 3 ข้อ ได้แก่ 

1.การให้ความช่วยเหลือแรงงานที่มีประกันสังคม และแรงงานที่เป็นผู้ประกันตน โดยอาจใช้เงินสะสมในกองทุนประกันสังคมของแรงงานแต่ละรายเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ส่วนแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม จำเป็นต้องพึ่งพามาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยผ่านธนาคารออมสิน เป็นต้น 

2.ภาคการเกษตร โดยสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน สามารถให้ความช่วยเหลือด้านการแบ่งเบาภาระ 

3.ภาคธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นที่รัฐบาลและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) และธนาคารออมสิน จะต้องมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงที่ธุรกิจต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราว นอกจากนี้การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.75% ในการประชุมนัดพิเศษ ก็จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการได้ 

 

ส่วนในระยะกลาง จะต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนในงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 5.5 แสนล้านบาท ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออีกกว่า 6 เดือนของปีงบประมาณ 2563 และเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกประมาณ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อให้เงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากการลงทุนพัฒนาโครงการต่างๆ 

 

“ขณะที่การแก้ไขปัญหาในระยะยาว มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยจะต้องลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออก และมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการพึ่งพาการบริโภคในประเทศ เพื่อปรับสัดส่วนรายได้ระหว่างการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศอยู่ในระดับ 50:50 จากปัจจุบันที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก 72% และในประเทศ 28%”

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising