จากรายงานผลการวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศของโลกล่าสุด โดย Crowther Lab ประจำมหาวิทยาลัย ETH Zurich คาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 หรืออีก 31 ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างหนักและคาดเดาได้ยากมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อเมืองสำคัญกว่า 520 เมืองทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยของทวีปยุโรปจะเพิ่มสูงขึ้นราว 3.5 องศาเซลเซียส ในขณะที่ฤดูหนาวก็จะมีสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้นราว 4.7 องศาเซลเซียส อาทิ กรุงลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร จะมีอุณหภูมิในเดือนที่อากาศร้อนที่สุดสูงขึ้นกว่า 5.9 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจเกิดวิกฤตภาวะภัยแล้งและอุณหภูมิร้อนสูงดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เมื่อปี 2008
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง งานวิจัยชี้ว่า โอกาสที่ประชากรโลกจะประสบกับภาวะคลื่นความร้อนรุนแรงอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปี จะเพิ่มขึ้นจาก 14% เป็น 37% ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 0.46 ภายในปี 2100 อีกทั้งโอกาสที่สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์จะสูญพันธ์ุมีเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะปะการัง มีโอกาสถูกทำลายลงสูงถึง 99%
ที่ประชุมด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติจึงมีมติที่จะพยายามควบคุมให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ราว 45% ภายในปี 2030 พร้อมทั้งตั้งเป้า Net Zero และหันมาใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลกภายในปี 2050
ภาพ: Edgar777vs / Shutterstock
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: